สกู๊ปหน้า 1: “อปท.” ขอแจม รุกจัดซื้อวัคซีน ลดภาระส่วนกลาง
เทศบาลนครนนทบุรีเป็นองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) แห่งแรกๆ ประกาศจะจัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 จำนวน 4 แสนโดส นำมาฉีดให้กับประชาชนในจังหวัดนนทบุรี ด้วยการใช้งบประมาณของเทศบาลกว่า 260 ล้านบาท
จุดเริ่มต้นของไอเดียดังกล่าว สมนึก ธนเดชากุล นายกเทศมนตรีนครนนทบุรี ขยายให้ฟังว่า เริ่มจากรัฐบาลจะจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 จำนวน 70 ล้านโดสมาฉีดให้กับประชาชน จึงเห็นว่าหากรัฐบาลนำมาฉีดให้ประชาชนเองคงใช้เวลานาน ถ้าท้องถิ่นต่างๆ มาช่วยอีกแรง ขอซื้อวัคซีนจากรัฐบาลผ่านกระทรวงสาธารณสุข รัฐบาลก็จะมีเงินไปซื้อวัคซีนเพิ่มอีก จึงเสนอแนวนี้ให้ท้องถิ่นต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งก็ได้รับการขานรับอย่างดี
ท้องถิ่นยินดีจะจ่ายเงินของตัวเองซื้อวัคซีนไปฉีดให้กับประชาชนในพื้นที่ของตัวเอง เพราะว่าแต่ละท้องถิ่นก็จะมีทั้งแพทย์พยาบาล มีบุคลากรทางการแพทย์อยู่แล้ว
นายกสมนึกกล่าวว่า ความจริงที่่ผ่านมา ท้องถิ่นก็มีส่วนร่วมในการสนับสนุนด้านสาธารณสุขอยู่แล้ว อย่างเช่นการร้องขอจากโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าว่า ขาดเครื่องช่วยหายใจ ก็ได้ประสานงานกับท้องถิ่น 3 แห่งคือ เทศบาลนครนนทบุรี เทศบาลนครปากเกร็ด และองค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี ร่วมกันจัดซื้อเครื่องช่วยหายใจให้กับโรงพยาบาล 100 เครื่อง เป็นเงินประมาณ 90 ล้านบาท โดยให้โรงพยาบาลเป็นผู้จัดซื้อเอง จะเห็นได้ว่าท้องถิ่นต่างๆ มีศักยภาพ และมีความตั้งใจจะดูแลประชาชน เมื่อรัฐบาลจะสั่งซื้อวัคซีนจากต่างประเทศ 70 ล้านโดส หากท้องถิ่นเข้ามาช่วยด้วยจะเป็นการแบ่งเบาภาระได้มาก เพราะท้องถิ่นทั่วประเทศทั้งเทศบาล, อบต., อบจ. มีถึง 7 พันกว่าแห่ง
สำหรับความคืบหน้าการดำเนินการเรื่องนี้ นายกสมนึกบอกว่า พยายามประสานงานเข้าพบ นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อขอซื้อวัคซีนต่อจากรัฐบาลที่ได้สั่งซื้อมา นพ.เกียรติภูมิก็เห็นว่ามีประโยชน์ เป็นเรื่องดี จะทำให้การทำงานเป็นไปอย่างรวดเร็ว
ต่อมานายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ก็ให้สัมภาษณ์เห็นด้วยกับท้องถิ่นที่จะมาช่วย แต่เกรงเรื่องเดียวว่าจะซ้ำซ้อนกัน ซึ่งเรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วง ท้องถิ่นมีวิธีจัดการไม่ให้ซ้ำซ้อนกับรัฐบาลได้ ถ้ารัฐบาลไฟเขียว การฉีดวัคซีนก็จะเป็นไปอย่างรวดเร็วแทนที่จะใช้ระยะเวลา 3 เดือน ก็ใช้เวลาแค่ 1 เดือนฉีดครบทุกคน และรัฐบาลจะมีเงินเหลือไปทำอย่างอื่นอีก ขณะที่ประชาชนก็จะมีความมั่นใจ เพราะทุกคนได้วัคซีนป้องกันโรค ก็จะกล้าออกมาทำมาหากิน จับจ่ายใช้สอย เศรษฐกิจของนนทบุรีและทั่วประเทศก็จะกลับพลิกฟื้นได้เร็ว
ส่วนเงินงบประมาณที่เทศบาลจะนำมาใช้ นายกสมนึกยืนยันไม่เป็นปัญหา เพราะมีเงินสะสมเก็บไว้ในแต่ละปีรวมแล้วประมาณ 4 พันล้านบาท ซึ่งมีแนวคิดจะทำเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยา ประมาณ 3,000 ล้านบาท ก็จะเหลืออีก 1,000 ล้านบาท สามารถแบ่งไปซื้อวัคซีนให้ประชาชนได้ เพียงแค่ทำเรื่องขออนุมัติจากสภาเทศบาลนครนนทบุรี ซึ่งได้มีการพูดคุยกับสมาชิกสภาเรียบร้อยแล้ว ทุกคนเห็นด้วยที่จะใช้เงินประมาณ 150 ล้านบาท มาจัดซื้อวัคซีน 3 แสนโดส
ขณะที่ วิชัย บรรดาศักดิ์ นายกเทศมนตรีนครปากเกร็ด จ.นนทบุรี กล่าวสนับสนุนเรื่องนี้เช่นกันว่า เทศบาลและท้องถิ่น
ใหญ่ๆ มีเงินสะสมอยู่แล้ว โดยเฉพาะเทศบาลนครปากเกร็ดมีเงินสะสมอยู่กว่า 1,000 ล้านบาท ตามระเบียบการใช้จ่ายเงินสะสมสามารถนำมาใช้ได้เมื่อมีภัยพิบัติต่างๆ โควิด-19 เป็นโรคติดต่อร้ายแรงก็ถือเป็นภัยพิบัติด้วย หากไม่มีการป้องกันอาจทำให้ประชาชนถึงแก่ชีวิตได้ ท้องถิ่นสามารถจ่ายขาดเงินสะสมได้ ตามที่กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นและกระทรวงมหาดไทยประกาศให้สามารถใช้เงินตรงนี้ได้
นายกปากเกร็ดกล่าวเพิ่มเติมว่า เทศบาลนครปากเกร็ดมีประชากรตามทะเบียนราษฎรประมาณ 180,000 คน ถ้าซื้อโดสละ 500 บาท หรือ 600 บาทก็จะเป็นการช่วยเหลือแบ่งเบาภาระงบประมาณของรัฐบาลได้มาก แต่ขั้นตอนการจัดซื้อคงต้องให้กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นและกระทรวงสาธารณสุขไปหารือกัน วัคซีนที่จะจัดซื้อต้องผ่านมาตรฐานการรับรองของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือให้ อย.และองค์การเภสัชกรรมเป็นผู้จัดซื้อให้ก็ได้ เป็นเรื่องรายละเอียดที่ตกลงกัน ไม่มีปัญหาอะไร หรือรัฐบาลจัดซื้อให้ก็ได้ แต่ยาต้องมีคุณภาพ ประชาชนยอมรับ
นายกวิชัยกล่าวว่า เรื่องที่เกรงกันว่าจะเกิดความซ้ำซ้อนระหว่างรัฐบาลกับท้องถิ่นมั่นใจว่าไม่ซ้ำซ้อนแน่นอน ใครฉีดวัคซีนกับท้องถิ่นแล้วก็ไม่ต้องไปฉีดกับรัฐบาล สามารถตรวจสอบได้ ท้องถิ่นอาจไม่ต้องซื้อเต็มจำนวนของประชากรทั้งหมด
ไม่ใช่มีประชากร 180,000 คนแล้วซื้อให้ทั้งหมด อาจจะซื้อแค่ 100,000 คนก่อน ทำเหมือนรัฐบาลที่จะฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยงก่อน หากการฉีดวัคซีนทำได้เร็ว ธุรกิจต่างๆ ก็จะฟื้นตัวขึ้น
เมื่อคนมีวัคซีนเป็นเกราะป้องกันตัว ก็จะกล้าออกมาทำมาหากิน ออกมาซื้อของ เศรษฐกิจก็จะฟื้นตัวเร็ว
