เมื่อวันที่ 2 กันยายน นายชาญวิทย์ เฟื่องฟูกิจการ ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย สมาคมพ่อค้าม้งไทยและที่ปรึกษากลุ่มผู้ประกอบการรีสอร์ตร้านค้าภูทับเบิกกล่าวถึงกรณีที่มีบุคคลอ้างอยู่ในกลุ่มไอเอสโทรศัพท์ข่มขู่เอาชีวิตผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์และเจ้าหน้าที่ หากไม่ยุติการรื้อรีสอร์ตภูทับเบิกว่า การโทรข่มขู่แบบนี้หากยังไม่มีหลักฐานก็ไม่อยากให้ปรักปรำว่ามีชาวม้งเกี่ยวข้องเพราะอาจจะไม่ใช่ก็ได้ เนื่องจากกลุ่มที่ถูกรื้อถอนรีสอร์ตก็ไม่ใช่มีแค่เพียงของกลุ่มชาวม้งเพียงอย่างเดียว ยังมีกลุ่มของผู้ประกอบการซึ่งเป็นคนนอกพื้นที่อีกด้วย ต้องดูว่าผู้ว่าราชการจังหวัดมีศัตรูเป็นใครบ้างน่าจะรู้ดี นอกจากนี้นโยบายคืนผืนป่าทั้งประเทศก็มีผู้เสียประโยชน์ค่อนข้างเยอะ จึงอาจมีมือที่ 3 ฉกฉวยโอกาสนี้สร้างสถานการณ์ขึ้นก็เป็นได้
“ง่ายนิดเดียวหากจะคาดเดาว่าเป็นชาวม้งหรือไม่เพราะหากเป็นชาวม้งสำเนียงการพูดคงส่อให้รับรู้ได้ ในขณะที่คนที่รับฟังคำขู่ก็น่าจะฟังออกและพอจะรู้ว่าคนโทรมาขู่ใช่ชาวม้งหรือไม่ ยิ่งระดับเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้วยแล้วคงมีวิจารณญาณและคาดเดาได้ไม่ยากว่าคนขู่เป็นคนม้งหรือคนไทย แต่ที่ห่วงจริงๆ ก็คือมือที่ 3 ซึ่งอาจจะอาศัยกระแสช่วงเวลานี้สอดแทรกเข้ามาหวังหยิบฉวยใช้ประโยชน์” นายชาญวิทย์กล่าว และว่า ทราบว่ามีหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ที่โทรมาข่มขู่ด้วย ทางเจ้าหน้าที่คงสามารถตรวจเช็กได้
นายชาญวิทย์กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ได้กำชับการกลุ่มชาวม้งมาตลอดถึงเรื่องการต่อสู้เรียกร้องเพื่อให้ได้สิทธิคืนมา ควรทำไปตามครรลองของกฎหมาย หากใช้กำลังเข้าหากันยังไงก็อาจถึงกับต้องบาดเจ็บล้มตายก็เป็นได้ ที่สำคัญไม่มีทางจะให้ได้สิทธิคืนมาอีกด้วย ฉะนั้นจึงกำชับให้ชาวม้งภูทับเบิกให้ต่อสู้โดยใช้สันติวิธี และทำยังไงที่จะช่วยกันอธิบายให้สังคมเข้าใจว่าที่ดินที่พวกเราอยู่นั้นมีสภาพเป็นแบบไหน และเข้ามาอาศัยทำกินได้อย่างไร
“แม้กระทั่งการคิดสั้นทำร้ายตัวเองก็พยายามย้ำบอกว่าอย่าคิดกระทำ เพราะยังไงหากจะเสียในสิ่งนี้ไปก็ยังต้องมีชีวิตอยู่ บางคนตกอยู่ภายใต้ความกดดันเพราะสิ้นเนื้อประดาตัวถึงกับอยากฆ่าตัวตายก็มี ฉะนั้นวันนี้อาจจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนทำผิดกฎหมาย แต่อย่างน้อยถ้ามีนิติรัฐก็ต้องมีนิติธรรมด้วย ก็หวังว่าทางราชการจะใช้นิติธรรมกับกลุ่มชาวม้งเหล่านี้ควบคู่ไปด้วย” นายชาญชัยกล่าว
