ผู้ว่าฯภูเก็ต ลงนามคำสั่งมาตรการควบคุมเดินทางเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว ตั้งแต่ 15 ส.ค.เป็นต้นไป

ผู้ว่าฯภูเก็ต ลงนามคำสั่ง มาตรการควบคุมการเดินทางเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว ตั้งแต่ 15 ส.ค.เป็นต้นไป

เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม นายณรงค์ วุ่นซิ้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า จากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มแรงงานต่างด้าวเพิ่มสูงขึ้นในลักษณะเป็นกลุ่มก้อนในหลายพื้นที่ เพื่อป้องกันและระงับยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคมิให้แพร่กระจายออกไป โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดภูเก็ต ตามมติที่ประชุมครั้งที่ 48/2564 เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2564 จึงลงนามคำสั่งจังหวัดภูเก็ต ที่ 4624/2564 เรื่อง กำหนดมาตรการควบคุมการเดินทางและเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวในเขตพื้นที่จังหวัดภูเก็ต สั่ง ณ วันที่ 14 สิงหาคม 2564

สาระสำคัญ ดังนี้

1.ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว และห้ามแรงงานต่างด้าวเดินทางเข้า-ออก ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ

2.การเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว หรือการทำงานภายในจังหวัดภูเก็ต การพักอาศัยภายในแคมป์ สถานที่พัก หรือสถานที่ทำงาน ให้ปฏิบัติตามมาตรการที่ทางราชการกำหนด และมาตรการ D-M-H-T-T-A อย่างเคร่งครัด

Advertisement

3.กรณี ที่พักอาศัย แคมป์ที่พัก หรือสถานที่ทำงานของแรงงานต่างด้าว เป็นพื้นที่เสี่ยงในการแพร่ระบาด ให้นายอำเภอ ในฐานะเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อในพื้นที่ดำเนินการเองหรือออกคำสั่งเป็นหนังสือให้ผู้ใดดำเนินการตามมาตรา 34 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558

4.สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ตร่วมกับจัดหางานจังหวัดภูเก็ต องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ตามมาตรการตรวจคัดกรองเชิงรุก โดยวิธีการ ATK (Antigen Test Kit) หรือ RT – PCR และในกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ไม่เกินร้อยละ 10 ให้แยกกัก รักษาผู้ติดเชื้อ ติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงสูง และกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากกว่าร้อยละ 10 ให้ใช้มาตรการควบคุมโรคในพื้นที่ควบคุมเฉพาะ (Bubble and Seal) ตามเกณฑ์ที่กำหนด และให้มีผู้จัดการแคมป์ (Camp Manager) ในการควบคุมกำกับดูแลให้เป็นไปตามมาตรการและคำสั่งจังหวัดภูเก็ต

5.กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในฐานะเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อในพื้นที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นช่วยเหลือเยียวยาในการดำรงชีพแจกถุงอุปโภคบริโภค

Advertisement

หากผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งฉบับนี้ อาจเป็นความผิดตามมาตรา 51 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือมาตรา 52 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 และอาจได้รับโทษตามมาตรา 18 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ.2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image