ซ่อมเสร็จใน 24 ชม.ตามคำสั่งผู้ว่าฯสมุทรสาคร หลังเมื่อวานน้ำทะเลหนุนสูง ทำเขื่อนดินพังน้ำท่วมบ้านกว่า 1 พันครัวเรือน
เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์น้ำท่วมอันเนื่องจากน้ำทะเลหนุนสูงในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร ว่าแม้วันนี้จะยังคงมีน้ำทะเลหนุนสูงช่วงเวลาประมาณ 09.00-11.00 น. แต่ก็ไม่รุนแรงเท่ากับเมื่อวานที่ผ่านมา ซึ่งผลกระทบจากน้ำทะเลหนุนสูงเมื่อวานนี้นอกจากจะทำให้บ้านเรือนที่อยู่ติดริมแม่น้ำท่าจีนเกิดสภาพน้ำท่วมชุมชนเป็นวงกว้างหลายแห่งแล้ว ยังทำให้เขื่อนดินกันน้ำท่วมชั่วคราวในคลองอ้อมตัน พื้นที่หมู่ 2 ต.ท่าทราย อ.เมืองสมุทรสาคร ที่สร้างมาตั้งแต่ปี 2554 เกิดพังทลายลงด้วย ทำให้มวลน้ำจากแม่น้ำท่าจีนไหลทะลักเข้าท่วม 4 ตำบล คือ ต.ท่าทราย ต.ชัยมงคล ต.บ้านเกาะ และ ต.บางกระเจ้า สร้างความเสียหายให้กับที่อยู่อาศัย สวนเกษตรต่างๆ กว่า 1,000 ครัวเรือน
หลังเกิดเหตุ นายณรงค์ รักร้อย ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่ดูสภาพเขื่อนดินพัง จากนั้นสั่งการให้มีการซ่อมแซมเขื่อนดินเพื่อให้กลับมากันน้ำได้อีกครั้ง โดยให้แล้วเสร็จภายใน 24 ชั่วโมง
นายอุเทน เงินสมบัติ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 ต.ท่าทราย เล่าว่า แนวเขื่อนดินชั่วคราวนี้สร้างตั้งแต่เมื่อครั้งน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 โดยมีลักษณะเป็นเขื่อนดินลูกรังที่ชาวบ้านช่วยกันทำขึ้นเอง เพื่อกันน้ำจากบริเวณปากคลองที่ติดกับแม่น้ำท่าจีนไหลเข้ามาท่วมพื้นที่เกษตรกรรมด้านใน ซึ่งก็ไม่กระทบต่อการไหลเวียนของน้ำในคลองเพราะมีประตูน้ำอ้อมโรงหีบที่ใช้ระบายน้ำเข้า-ออกได้อีกทางหนึ่ง
นายอุเทนกล่าวว่า เขื่อนดินนี้อยู่มาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว กระทั่งเมื่อวานนี้เกิดน้ำทะเลหนุนสูง ประกอบกับสภาพเขื่อนดินที่ถูกกัดเซาะและทรุดตัวไปตามกาลเวลา จึงทำให้พังเป็นช่องขนาดใหญ่จนมวลน้ำไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่ทำการเกษตรและที่อยู่อาศัยของชาวบ้านที่อยู่หลังแนวเขื่อนดินทันที มีผู้ได้รับความเดือนร้อนไปตามๆ กันกว่า 1,000 ครัวเรือน
ทั้งนี้ ภายหลังจากผู้ว่าฯสั่งการให้ดำเนินการซ่อมแซมภายใน 24 ชั่วโมงนั้น นายวรชาติ สายน้ำผึ้ง กำนันตำบลท่าทราย ก็ได้ประสานงานร่วมกับทาง อบต.ท่าทราย และ อบจ.สมุทรสาคร ดำเนินการจัดหาวัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องจักรมาดำเนินการทันที ซึ่งก็แล้วเสร็จได้ภายใน 24 ชั่วโมง
ขณะที่ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ หลังจากซ่อมแซมเขื่อนดินเรียบร้อยแล้วต่างเร่งแก้ปัญหาด้วยการสูบน้ำออกจากพื้นที่สวนเกษตรของตนเอง เพื่อไม่ให้พืชผลทางการเกษตรเกิดความเสียหาย
