ลูกบ้านสุดช้ำ ถูกผู้ใหญ่บ้านหลอกค้ำประกันเงินกู้สหกรณ์ สุดท้ายไม่เหลือที่ดินทำกิน

ลูกบ้านสุดช้ำ ถูกผู้ใหญ่บ้านหลอกค้ำประกันเงินกู้สหกรณ์ สุดท้ายไม่เหลือที่ดินทำกิน เครียดจัดคว้าผ้าขาวม้าเตรียมผูกคอลาโลก โชคดีเพื่อนบ้านมาเจอเลยรอด

เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 65 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ที่บ้านเลขที่ 111 หมู่ 8 บ้านหนองบก ต.ขามป้อม อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม พบกับนางสาวพรพรรณ ไชยสุวรรณ อายุ 33 ปี นางมาลัย ไชยสุวรรณ อายุ 65 ปี ทั้งคู่เป็นแม่ลูกกัน ภายหลังจากได้รับร้องเรียนว่า แม่ถูกผู้ใหญ่บ้านหลอกให้ค้ำประกันเงินกู้ของสหกรณ์ จนเสียที่ดินทำกิน ทำให้แม่มีภาวะเครียด จนคิดสั้นผูกคอตาย แต่เพื่อนบ้านไปพบเข้าเสียก่อน

นางมาลัย ไชยสุวรรณ อายุ 65 ปี เล่าว่า ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณเมื่อเดือนกันยายน 2556 นายสมบัติ วรรณศรี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 ต.ขามป้อม อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม มาหาตนที่บ้านพัก พร้อมกับบอกว่า ให้ไปช่วยเซ็นชื่อเป็นพยานในการกู้ยืมเงินกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนหนองแวงบกไผ่ล้อม จำกัด ซึ่งไม่ทราบว่าผู้ใหญ่บ้านจะกู้เงินเท่าไหร่ และยังบอกให้นำโฉนดที่ดินที่นาของตนไปด้วย เพื่อแสดงให้ทราบว่า เป็นคนมีที่ดินทำกินและจะคืนให้ทันที เห็นว่าเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน และมีตำแหน่งเป็นถึงผู้ใหญ่บ้าน ทำให้ไว้ใจ เซ็นชื่อเป็นพยานให้ จากนั้นผู้ใหญ่บ้านได้ขับรถมาส่งที่บ้าน ตนได้ทวงถามถึงโฉนด ทางผู้ใหญ่บ้านอ้างว่าจะนำไปถ่ายเอกสารก่อนแล้วจะคืนให้ แต่ก็ไม่ได้คืน ผ่านไป 2-3 เดือน จึงได้ไปทวงถามอีกครั้ง ผู้ใหญ่บ้านจึงได้บอกว่านำโฉนดที่ดินของตน เนื้อที่ 9 ไร่ 1 งาน 60 ตารางวา ไปค้ำประกันเงินกู้กับทางสหกรณ์ ตนตกใจมาก แต่ผู้ใหญ่บ้านกลับบอกว่าไม่เป็นไรจะรีบเอาโฉนดมาคืนโดยเร็วที่สุด และกำชับว่าไม่ต้องไปบอกลูกหลาน เพราะจะไม่ทำให้เดือดร้อน และหากมีเอกสารเกี่ยวกับสหกรณ์มาถึง ขอให้นำเอกสารไปให้ผู้ใหญ่บ้าน ด้วยความไว้ใจจึงไม่ได้บอกให้ลูกหลานทราบ

จากนั้นเมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 2561 ได้รับหมายศาลจังหวัดมหาสารคาม คดีหมายเลขดำที่ ผบ.4649/2561 ลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2561 มีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนหนองแวงบกไผ่ล้อม จำกัด โดยนายไกรสร สังฆมะณี ผู้รับมอบอำนาจ เป็นโจทก์ มีนายสมบัติ วรรณศรี ผู้ใหญ้บ้าน, นางมาลัย ไชยสุวรรณ ตนเอง, นางบุญฮง ปาปะเก เพื่อนบ้าน เป็นจำเลย ถูกฟ้องร้องเรื่องทำผิดสัญญากู้ยืมเงิน, ค้ำประกัน จำนวนเงิน 95,811.50 บาท เป็นเงินต้น 70,000 บาท ซึ่งนายสมบัติ ได้ทำผิดนัดชำระหนี้ มียอดหนี้ที่ค้างชำระจนถึงวันฟ้องร้อง (20 กรกฎาคม 2561) เงินต้น 66,182 บาท และดอกเบี้ยค้างชำระจำนวน 29,629.59 บาท โดยตนก็ได้นำเอกสารไปให้กับนายสมบัติ ซึ่งศาลได้นัดไกล่เกลี่ย แต่ตนก็ไม่ทราบเรื่อง และมาทราบภายหลังว่าถูกปลอมลายเซ็น รับทราบหมายนัดของศาลจังหวัดมหาสารคาม โดยนายสมบัติผู้เป็นผู้ใหญ่บ้าน

กระทั่งต่อมาปี 2562 และปี 2563 จำเดือนไม่ได้ มีเอกสารจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนหนองแวงบกไผ่ล้อม จำกัด มาถึง ตนก็ถือเอกสารไปให้ผู้ใหญ่บ้าน ทุกครั้งจะได้รับคำตอบว่า จัดการเรียบร้อยแล้วไม่มีอะไร เพราะคิดว่านายสมบัติเป็นถึงผู้ใหญ่บ้าน มีความรู้ด้านกฎหมายเป็นอย่างดี ส่วนตนไม่มีความรู้ด้านกฎหมายเลย อ่านหนังสือก็ไม่ออก ไม่คิดว่าจะถูกหลอกแบบนี้

Advertisement

ต่อมาเดือนกันยายน 2564 มีเอกสารมาถึงอีก 1 ชุด ตนก็นำไปให้ผู้ใหญ่บ้านอีก แต่ครั้งนี้ผู้ใหญ่บ้านบอกว่า เป็นเอกสารนัดการขายทอดตลาดที่ดินของตนเอง ในฐานะผู้ค้ำประกันเงินกู้ ทำให้ตนตกใจมาก แต่ผู้ใหญ่บ้านอ้างว่าเป็นเรื่องเก่าที่จัดการจบไปแล้ว จะไม่มีการขายที่ดินทอดตลาด คิดว่าผู้ใหญ่บ้านพูดความจริง จึงไม่เอะใจอะไร

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้รับโทรศัพท์จากลูกสาว ว่ามีการประกาศขายทอดตลาดที่ดินของตนที่กรมบังคับคดี จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งลูกสาวทราบข่าวจากรองนายก อบต. ที่มีบ้านอยู่ใกล้กัน ตนตกใจมาก จึงเดินไปที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน พบผู้ใหญ่บ้านอยู่ที่ทุ่งนา จึงขอร้องให้พาไปที่กรมบังคับคดี เพื่อจะไปคัดค้าน แต่ผู้ใหญ่บ้านกลับเพิกเฉยไม่ยอมพาไป จึงยื่นเงินให้ผู้ใหญ่บ้าน 500 บาท เพื่อให้พาไป ผู้ใหญ่บ้านรับเงิน แต่กลับพาไปที่สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนแทน และมีการพูดคุยโทรศัพท์กับใครไม่ทราบ ก่อนจะบอกกับตนเองว่าจัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่มีการขายทอดตลาด ก่อนจะพาตนมาส่งที่บ้าน แต่ในช่วงเย็นทราบข่าวจากลูกสาวว่าที่นาของตนถูกขายทอดตลาดไปแล้ว ทำให้ตนเองเครียด และเสียใจมาก เพราะนายสมบัติมีตำแหน่งเป็นถึงผู้ใหญ่บ้าน เป็นผู้รู้กฎหมาย เป็นผู้ปกครองหมู่บ้าน มีหน้าที่ช่วยเหลือราษฎร แต่กลับหลอกลวงให้ตนเซ็นค้ำประกันเงินกู้ ทั้งๆ ที่ตนไม่รู้หนังสือ ทำให้ต้องสูญเสียที่ดินทำกินไปตลอดชีวิต

ทำให้เกิดความเครียด ถึงขั้นคิดสั้นฆ่าตัวตาย แต่ยังโชคดีที่เพื่อนลูกสาว ซึ่งอยู่บ้านใกล้กันมาเห็นเสียก่อน จึงอยากขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกๆ หน่วยงาน ตลอดจนนายกรัฐมนตรี เข้ามาช่วยดูแลแก้ไขปัญหาให้ตนด้วย เพราะไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปหาใครอีกแล้ว อยากให้นายกฯช่วยด้วย

Advertisement

ด้านนางสาวพรพรรณ ไชยสุวรรณ ลูกสาว เล่าว่า ก่อนหน้านี้ไม่เคยทราบเรื่องมาก่อนเลย โดยมาทราบเรื่องเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ว่าจะมีการขายทอดตลาดที่ดินของแม่ จึงได้โทรศัพท์มาบอกแม่ และทราบเรื่องทั้งหมด ตนเองไปทำงานรับจ้างที่ต่างจังหวัด ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ แม่อาศัยอยู่กับหลาน 2 คน ซึ่งเป็นลูกของน้องสาวที่เสียชีวิตไปแล้ว แม่ทำนา เพื่อส่งหลานเรียนหนังสือ คนโตอยู่มหาวิทยาลัย ปี 4 คนเล็กอยู่ชั้น ม.2 โรงเรียนในตัวอำเภอ ไม่เคยคิดว่าผู้ใหญ่บ้านจะทำแบบนี้กับครอบครัวของตน ความเสียหายมันไม่ใช่แค่ที่ดินที่สูญเสียไป แต่มันเป็นความรู้สึกที่ประเมินค่าไม่ได้ แม่ตนเกือบที่จะฆ่าตัวตายสำเร็จ หากเพื่อนบ้านไม่ไปพบเสียก่อน จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเขามาช่วยดูแลเยียวยา และหากเป็นไปได้ ก็อยากจะให้เจรจาขอซื้อที่ดินกลับมา เพราะเป็นที่ดินเพียงผืนเดียวของครอบครัวที่ทำมาหากินมาตลอด 50 ปี ส่วนผู้ใหญ่บ้านก็อยากให้มีการสอบสวน ถึงพฤติกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพราะไม่อยากให้ไปทำแบบนี้กับลูกบ้านคนอื่นๆ

ขณะที่นางสาวระเบียบ ภาษา เพื่อนบ้านเล่าว่า บ้านของตนอยู่ห่างจากบ้านของนางมาลัย ประมาณ 50 เมตร วันที่ประสบเหตุ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ลูกสาวนางมาลัย ซึ่งเป็นเพื่อนของตน โทรศัพท์มาบอกว่าขอให้ช่วยไปดูแม่ให้หน่อย เพราะแม่ไม่รับโทรศัพท์ จึงได้เดินมาดู ก็พบว่านางมาลัยยืนอยู่บนเก้าอี้ ถือผ้าขาวม้า เตรียมที่จะผูกคอตัวเองกับขื่อในห้องครัว จึงได้ร้องเรียกให้นางมาลัยมีสติ จากนั้นจึงได้พยุงออกมาหน้าบ้าน และร้องเรียกให้เพื่อนบ้านมาช่วยกันดู จนนางมาลัยอาเจียนออกมาแล้วเป็นลม ก่อนจะเรียกรถพยาบาลมารับตัวไปโรงพยาบาล โดยหมอระบุว่ามีความเครียด โดยหมอจะให้นอนโรงพยาบาล แต่ว่านางมาลัยขอกลับบ้าน ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับใคร คนแก่ไม่รู้หนังสือ อยู่บ้านนอก ก็มาถูกคนที่รู้กฎหมาย คนเป็นผู้นำหมู่บ้านหลอกลวง อยากให้ใครก็ได้มาช่วยเพราะสงสารนางมาลัยมาก จนถึงทุกวันนี้ก็ยังกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพื่อนบ้านก็ต้องแวะเวียนมาช่วยปลอบใจและอยู่เป็นเพื่อน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image