พ่อวัย 72 แจ้งความลูกคนเล็ก ลักทรัพย์จากตู้เซฟกว่า 12 ล้าน ช่วงอยู่ รพ. เจ้าตัวอ้างเอาไปเก็บไว้

พ่อวัย 72 แจ้งความเอาผิดลูกชายคนเล็ก ลักทรัพย์จากตู้เซฟมูลค่า 12 ล้าน

เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ที่ สภ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา นายเอกชัย สุนทรากุลรักษา อายุ 72 ปี พร้อมด้วยนายพงษ์พินิจ สุนทรากุลรักษา อายุ 41 ปี ลูกชายคนโต เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ประเวศ ศรีนาค ผกก.สภ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคดีที่มีคนร้ายเข้าไปลักทรัพย์ทรัพย์สิน เป็นอาวุธปืนขนาดต่างๆ จำนวน 12 กระบอก ทองรูปพรรณ 200 บาท นาฬิกาโรเล็กซ์ 9 เรือน นาฬิกาโอเมก้า 3 เรือน โฉนดที่ดิน พินัยกรรม รวมมูลค่าทรัพย์สินที่หายไป 12 ล้านบาท ซึ่งเก็บไว้ในตู้เซฟชั้น 2 ของบ้านใน ต.ไผ่ลิง อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา เหตุเกิดเมื่อวันที่ 10 มิ.ย.2565 ที่ผ่านมา จากการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานและฝ่ายสืบสวนไม่พบร่องรอยถูกงัดแงะประตูรั้ว ประตูบ้าน และหน้าต่างยังปกติ

นายพงษ์พินิจให้การว่า บ้านหลังเกิดเหตุมีพ่ออาศัยอยู่เพียงลำพัง ตนและน้องชายอยู่กรุงเทพฯ จะแวะเวียนมาเยี่ยม กระทั่งช่วงกลางเดือนเมษายน ทราบข่าวจากคนที่ดูแลพ่อว่าคุณพ่อล้มศีรษะฟาดพื้น ส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลราชธานี จากนั้นครอบครัวได้ย้ายคุณพ่อไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลธนบุรีนานเกือบ 1 เดือน เมื่อคุณพ่อเริ่มมีอาการดีขึ้น จึงขอให้พากลับมาที่บ้านเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. พอกลับมาบ้านพบว่ากุญแจบ้านถูกเปลี่ยน หลังจากเข้าบ้านได้พบว่ากุญแจตู้เซฟหายไป ได้ตามช่างมาเปิดจนพบว่าทรัพย์สินสูญหายไป จึงได้เข้ามาแจ้งความ เพื่อติดตามหาตัวคนร้าย

“พอพ่ออาการดีขึ้น จำความได้ จึงได้เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่าถูก นายพงษ์พิพัฒน์ สุนทรากุลรักษา อายุ 33 ปี ลูกชาย หรือน้องชายของตน ทำร้ายจนบาดเจ็บ ช่วงที่พ่อรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล น้องชายมานอนเฝ้าบ้าน จึงได้ก่อเหตุขโมยเอาทรัพย์สินไป” นายพงษ์พินิจกล่าว

ด้านนายเอกชัยกล่าวว่า เสียใจ ไม่คิดว่าลูกชายแท้ๆ จะทำกับตนได้ และขโมยทรัพย์สินไปทั้งหมด ยืนยันว่าขอแจ้งความเอาผิดลูกชายคนเล็กตามกฎหมาย

Advertisement

พ.ต.อ.ประเวศเปิดเผยว่า เบื้องต้นวันเกิดเหตุได้ให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานตรวจที่เกิดเหตุ ไม่พบร่องรอยคนร้ายโจรกรรมบ้านจึงเชื่อว่าน่าจะเป็นคนภายในบ้านเอาไป จึงได้เก็บรอยนิ้วมือแฝงคนร้าย ส่วนตัวนายเอกชัยเชื่อว่าลูกชายคนเล็กเป็นคนลักทรัพย์สินทั้งหมด 12 ล้าน ไปจากตู้เซฟ คดีนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและเป็นเรื่องภายในครอบครัว จึงให้ทางครอบครัวได้คุยกันเพื่อประนีประนอมและไกล่เกลี่ย แต่นายเอกชัยยืนยันว่าจะดำเนินคดีกับลูกชาย จึงได้เชิญตัวลูกชายคนเล็กเข้ามาพบพนักงานสอบสวน เบื้องต้นนายพงษ์พิพัฒน์ให้การว่า ทรัพย์สินทั้งหมดที่เอาออกไปจากตู้เซฟนำไปเก็บไว้ ไม่ได้ขโมย และไม่ได้ทำร้ายร่างกายพ่อ ซึ่งทรัพย์สินทั้งหมดยังเป็นของนายเอกชัย ก็ถือว่ายังเป็นทรัพย์สมบัติของนายเอกชัย หากผู้อื่นมาเอาทรัพย์สินไป ก็สามารถแจ้งความเอาผิดดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปได้

ต่อมาช่วงเย็น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวนายพงษ์พิพัฒน์ไปตรวจค้นที่บ้านพักใน กทม. พบอาวุธปืนและทองรูปพรรณบางส่วนที่ยังอยู่ จึงตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นนำตัวไปตรวจค้นที่ห้องพักบ้านที่เกิดเหตุใน จ.พระนครศรีอยุธยา ตรวจสอบภายในห้องนอนพบอาวุธปืน 1 กระบอก จึงได้ทำการตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน พร้อมทั้งจะสอบสวนพยานและสอบสวนผู้เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมายต่อไป

Advertisement

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image