ทนายกองทัพธรรม แจ้งความเอาผิดหมอปลาและพวก พร้อมฟ้องสื่อนับสิบสำนัก
เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2565 ที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร พระเทพวรมุนี เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนม ได้มอบอำนาจให้ ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช แม่ทัพทนายกองทัพธรรม, ทนายเอื้อ มูลสิงห์ ทนายกองทัพธรรม จังหวัดนครพนม และไวยาวัจกรวัดพระธาตุพนม แถลงข่าวการดำเนินคดีอาญาและคดีแพ่งกับ นายจีรพันธ์ เพชรขาว หรือหมอปลา, ทนายไพศาล เรืองฤทธิ์, นางสาววรรณวิสา ประทุมวัน โดยคดี คดีอาญา ได้แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ที่ สภ.ธาตุพนม เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2565 เวลา 20.00 น. โดยมี ร.ต.อ.อรรถพงศ์ จรลี พนักงานสอบสวน สภ.ธาตุพนม เป็นผู้รับเรื่อง ส่วนคดีแพ่ง ได้ยื่นฟ้องที่ศาลจังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคมเช่นเดียวกัน ข้อหาละเมิดและขอให้จำเลยทั้ง 3 โฆษณาคำพิพากษาและคำขอโทษเพื่อบรรเทาความเสียหายให้กับโจทก์ ขอให้จำเลยทั้ง 3 ร่วมกันหรือแทนกันโฆษณาคำพิพากษาและคำขอโทษในสื่อต่างๆ เป็นเวลา 7 วัน
โดยเหตุการณ์ดังกล่าวสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2565 นายจีรพันธ์ เพชรขาว หรือหมอปลา, ทนายไพศาล เรืองฤทธิ์ และนางสาววรรณวิสา ประทุมวัน ได้ร่วมกันยื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยกล่าวหาว่า พระเทพวรมุนี อดีตเจ้าอาวาสวัดมรุกขนคร ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนม โกง, เบี้ยว, ค้างค่าจ้างก่อสร้างถาวรวัตถุ วัดมรุกขนคร จำนวน 1.2 ล้านบาท และได้ให้ข่าวต่อสื่อมวลชนหลายสำนักทั้งสถานีโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และสื่อออนไลน์ ซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงแล้ว เดิมวัดมรุกขนครเป็นวัดร้าง มีลักษณะรกทึบ เมื่อประมาณปี 2534
พระสงฆ์และชาวบ้านได้ช่วยกันพัฒนา สร้างเสนาสนะต่างๆ จนได้รับการแต่งตั้งเป็นวัดเมื่อปี 2539 มีผู้รับเหมา 3 ราย หนึ่งในนั้นคือ นายสมเกิด ภูทัศน์ ได้เข้ามาดำเนินการก่อสร้างในปี 2536 แต่ปรากฏว่า นายสมเกิด ซึ่งเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างในขณะนั้นทำงานล่าช้า ไม่ใส่ใจงานที่ก่อสร้าง ดังนั้น ในวันที่ 25 มกราคม 2539 คณะกรรมการผู้ควบคุมดูแลการก่อสร้างวัดมรุกขนครได้ประชุมกันแล้วมีมติยกเลิกสัญญากับนายสมเกิด ผู้รับเหมาก่อสร้าง นายสมเกิดก็ไม่ได้ฟ้องร้องค่าก่อสร้างภายในอายุความ 2 ปี (25 มกราคม 2539 ถึง 25 มกราคม 2541) ถือว่านายสมเกิดมิได้ใช้สิทธิทางศาลตามกฎหมาย
อีกทั้งขณะที่มีการว่าจ้างจนถึงบอกเลิกการว่าจ้างวัดมรุกขนครยังไม่ได้มีสถานะเป็นวัดมรุกขนครตามกฎหมาย ซึ่งต่อมาในวันที่ 11 กรกฎาคม 2539 พระปริยัติธีรคุณ ดำรงสมณศักดิ์ในขณะนั้น (คือ พระเทพวรมุนี) เป็นเจ้าอาวาสวัดมรุกขนคร ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องกับการทำสัญญาว่าจ้าง การชำระเงินค่าจ้าง อีกทั้งไม่เคยมีข้อตกลงใดๆ กับนายสมเกิด เพราะไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่จะทำเช่นนั้นได้ เนื่องจากการผิดสัญญาของนายสมเกิด ไม่ได้ใช้สิทธิทางศาลเอากับคณะกรรมการที่ควบคุมดูแลการก่อสร้างภายในอายุความ สิทธิดังกล่าวจึงสิ้นไป นางสาววรรณวิสา ประทุมวัน จึงไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะยื่นหนังสือร้องเรียนหรือใช้สิทธิทางศาล รวมถึงนายจีรพันธ์ เพชรขาว และทนายไพศาล เรืองฤทธิ์ ก็ไม่มีสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายใดๆ ที่จะทำหนังสือร้องเรียนพฤติกรรมแห่งคดี เห็นได้ชัดว่า บุคคลทั้งสามสมคบคิดกันและแบ่งหน้าที่กันกระทำความผิด ฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณากับสำนักข่าวหลายสำนัก เพราะหากนายจีรพันธ์ และทนายไพศาล ไม่นัดนักข่าวมาให้ทำข่าว นักข่าวจากสำนักต่างๆ ก็จะไม่ทราบและไม่มีการนำเสนอข่าวที่ทำให้เกิดความเสียหายเช่นนี้
อีกทั้งนายจีรพันธ์ และทนายไพศาล มีพฤติกรรมเช่นนี้มาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้ พระเทพวรมุนีจึงได้มอบอำนาจให้นายอนันต์ชัย ไชยเดช และนายเอื้อ มูลสิงห์ ดำเนินคดีอาญาโดยการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษที่ สภ.ธาตุพนม และฟ้องคดีแพ่งที่ศาลจังหวัดนครพนม ทนายอนันต์ชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากวันนี้ขอให้สื่อที่เคยเอ่ยถึงชื่อท่าน ทำให้เสื่อมเสีย ขอให้ลบโพสต์นั้นเสีย และฝากถึงสื่อมวลชนว่าการทำคดีอย่าทำที่ถูกใจ แต่ต้องทำให้ถูกกฎหมายด้วย โดยเบื้องต้นสื่อที่ถูกฟ้องในครั้งนี้มีทั้งสิ้น 11 สำนัก
ซึ่งก่อนที่จะมีการแถลงข่าว พระเทพวรมุนีได้เปิดโอกาสให้ตัวแทนผู้สื่อข่าวสำนักต่างๆ ทำพิธีขอขมากรรม ที่ได้ล่วงเกินท่านไปโดยมิได้เจตนา โดยพระเทพวรมุนีได้อโหสิกรรมไม่ถือโทษให้แก่ผู้สื่อข่าวที่ได้รายงานข่าวไปก่อนหน้านี้ เนื่องจากไม่มีเจตนาที่จะทำเช่นนั้น แต่ที่ยอมไม่ได้เนื่องเพราะมีการกล่าวถึงองค์พระธาตุพนมอันเป็นที่เคารพนับถือของชาวพุทธไปในทางเสียหาย ส่วนผู้สื่อข่าวที่ได้มาขอขมาในวันนี้แล้วก็จะให้อภัย ขอให้สบายใจได้ โดยพิธีขอขมาได้จัดขึ้นในบริเวณองค์พระธาตุพนม