กมธ.ศาสนา มอบโฉนดที่ดินวัดเขาบันไดอิฐ หนุนเป็นกรณีศึกษาแก้ปมเอกสารสิทธิวัดกว่า 10,000 แห่งทั่วประเทศ
เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 11 พ.ย. นายสุชาติ อุสาหะ ส.ส.เพชรบุรี ประธานคณะกรรมาธิการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร นำคณะ กมธ.ศาสนาฯ เดินทางมาที่วัดเขาบันไดอิฐ ต.ไร่ส้ม อ.เมือง จ.เพชรบุรี ร่วมถวายโฉนดที่ดินวัดเขาบันไดอิฐพื้นที่ 90 ไร่ 1 งาน 19 ตารางวา ให้แก่พระปลัดบุญมี บุญญภาโค เจ้าอาวาสวัดบันไดอิฐ โดยมีนายธรรมนูญ ศรีวรรธนะ รอง ผวจ.เพชรบุรี นายกฤษณ์ แก้วอยู่ ส.ส.เพชรบุรี นายปราณสุวีร์ อาวอร่ามรัศมิ์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบุรี และคณะร่วมเป็นสักขีพยาน
พระปลัดบุญมีเปิดเผยว่า วัดเขาบันไดอิฐ ปัจจุบันตั้งอยู่เลขที่ 44 หมู่ 9 ต.ไร่ส้ม อ.เมือง จ.เพชรบุรี เป็นวัดในพระพุทธศาสนาซึ่งมีการจัดตั้งมาประมาณ 250 ปี ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาประกอบพิธีสังฆกรรมถูกต้องตามพระบรมพุทธานุญาติมีเสนาสนะเป็นหลักฐานที่มั่นคงและมีพระภิกษุสามเณรอยู่จำพรรษาติดต่อกันทุกปี เป็นวัดที่จัดตั้งขึ้นก่อน พรบ.ลักษณะปกครองสงฆ์ รศ.121 (พ.ศ.2445) และจัดตั้งขึ้นก่อน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2484 ซึ่งแสดงว่าวัดเขาบันไดอิฐเป็นวัดที่จัดตั้งขึ้นถูกต้องตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฉบับที่ 2 พ.ศ.2535 และกฎหมายมหาเถรสมาคมทุกประการ มีพื้นที่จำนวนทั้งเขาประมาณ 150-160 ไร่ แต่เนื่องจากที่ผ่านมาวัดยังไม่มีเอกสารสิทธิที่ดินในการจัดตั้งวัด ซึ่งอาจจะทำให้การดำเนินการทางกฎหมายในบางส่วนเป็นไปโดยไม่สมบูรณ์ จึงได้ขอความอนุเคราะห์ไปยังคณะกรรมาธิการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินการออกเอกสารสิทธิที่ดินในการจัดตั้งวัดเขาบันไดอิฐว่าเนื้อที่ภายในวัดมีจำนวนกี่ไร่ เพื่อให้เกิดความชัดเจนถูกต้อง
นายสุชาติเปิดเผยว่า หลังรับเรื่อง คณะกรรมาธิการได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมหาแนวทางพิจารณาศึกษาทั้งข้อเท็จจริงและสภาพทางภูมิประเทศ อาทิ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักศิลปากรที่ 1 ราชบุรี เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรี และหน่วยงานที่สำคัญในการพิจารณาออกเอกสารสิทธิให้แก่วัด ประกอบกับได้เดินทางมาศึกษาดูงานและติดตามความคืบหน้าร่วมประชุมปรึกษาหารือกับหน่วยงานดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ประมาณ 4-5 ครั้ง
ทั้งนี้ สำนักศิลปากรที่ 1 ราชบุรี ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ร่วมกับตัวแทนของวัด นำออกเดินสำรวจโบราณสถาน โดยอาศัยหลักฐานเอกสารพระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เล่ม 1 ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ จัดพิมพ์เมื่อ พ.ศ.2506 กล่าวถึงพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ.2503 ซึ่งวัดบันไดอิฐตั้งอยู่ก่อนการเสด็จประพาส ไปทรงทอดผ้าพระกฐินพระราชทาน จึงทำให้ได้รับการพิสูจน์ทั้งเอกสารพยาน และวัตถุพยานนั้น คือความเป็นโบราณสถาน โดยปรากฏข้อเท็จจริงในบันทึกถ้อยคำเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ จึงยืนยันว่าวัดเขาบันไดอิฐนั้นเป็นวัดเก่าแก่และมีเนื้อที่อาณาบริเวณกว้างขวาง ทำให้เชื่อว่าวัดเขาบันไดอิฐ เป็นวัดซึ่งตั้งอยู่ก่อนการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน เช่น ประมวลกฎหมายที่ดิน พระราชบัญญัติป่าไม้ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรี จึงได้พิจารณาอนุญาตออกโฉนดที่ดินให้แก่วัดบันไดอิฐ เมื่อเดือนตุลาคม 2565 จำนวนพื้นที่ 90 ไร่ 1 งาน 19 ตารางวา
นายสุชาติกล่าวต่อไปว่า สำหรับในส่วนพื้นที่ที่เหลือประมาณ 60 ไร่เศษ นั้นประสานกับสำนักงานกรมศิลปากรที่ 1 เข้าไปพิสูจน์ทราบปรากฏว่าพบโบราณสถานคาดการณ์อายุว่าน่าจะเกิน 100 ปี ซึ่งจะได้รับการขึ้นทะเบียนโบราณสถานโดยสภาพอยู่แล้ว นั่นก็หมายความพิสูจน์ได้ว่าไม่ใช่เขตป่าไม้ ดังนั้นที่ดินส่วนที่เหลืออาจจะเป็นพื้นที่การทำความร่วมมือร่วมกันระหว่างรัฐโดยกรมศิลปากร ดูแลร่วมกันกับวัด เพราะฉะนั้นการครอบครองทั้งหมดก็จะอยู่ในการดูแลของวัดเขาบันไดอิฐทั้งหมด
“ปี 2564 คณะรัฐมนตรีมีมติ ครม. 2 ครั้ง ว่าให้มีการแจ้งการครอบครองสิ่งปลูกสร้างของส่วนราชการ และของสำนักงานพุทธศาสนา ที่อยู่ในเขตป่าไม้ และพบว่าในส่วนของสำนักงานพุทธศาสนา ที่เป็นวัด ที่พักสงฆ์ สำนักสงฆ์กว่า 40,000 แห่งทั่วประเทศ มีกว่า 10,000 แห่งที่อยู่ในเขตป่าไม้ จึงเป็นที่มาของการพิสูจน์ทราบพื้นที่ โดยใช้วัดเขาบันไดอิฐเป็นโมเดลเป็นต้นแบบว่าสิ่งที่อยู่ในเขตพื้นที่สามารถดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมายออกมาเป็นโฉนดได้ แต่บริบทนี้ไม่ได้หมายความว่าใช้ได้กับทุกพื้นที่ ต้องขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงในพื้นที่นั้นๆ ด้วย ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการได้นำเรื่องกรณีการขอออกเอกสารสิทธิให้วัดบันไดอิฐเป็นกรณีศึกษาถอดโมเดลเพื่อนำไปพิจารณาศึกษากับเรื่องร้องเรียนที่เสนอให้คณะกรรมาธิการพิจารณาแก้ไขปัญหาในฐานะของฝ่ายนิติบัญญัติโดยมีคณะกรรมาธิการเป็นกลไกพิจารณาศึกษาแก้ไขปัญหาวัดอื่นๆต่อไป”