ดีเบตการเมือง กลางวงเหล้า ฝั่ง ‘บิ๊กตู่’ เถียงสู้ไม่ได้ ยกพวกรุมฟันเห็นต่างปางตาย
เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 16 พฤศจิกายน ร.ต.อ.นิธินันท์ ศรีรุต ร้อยเวร สภ.มาบตาพุด ระยอง ได้รับแจ้งเกิดเหตุใช้อาวุธมีดทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหนึ่งราย เหตุเกิดที่ห้องแถวแห่งหนึ่งใน อ.เมือง จ.ระยอง จึงประสานแพทย์เวร รพ.เฉลิมพระเกียรติฯ มาบตาพุด และหน่วยกู้ภัยสว่างพรกุศล พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนเดินทางไปตรวจสอบและให้ความช่วยเหลือ
เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ พบมีชาวบ้านมายืนมุงกันอยู่ จึงเข้าไปตรวจสอบพบกับนายกฤษฎา (นามสมมุติ) อายุ 52 ปี นั่งอยู่ตรงหน้าบ้าน สภาพโชกเลือดไปทั้งตัว เจ้าหน้าที่จึงรีบเข้าไปปฐมพยาบาลเบื้องต้น พบบาดแผลทั้งหมด 5 แผล ที่แขนมีรอยถูกฟัน 2 แผล ที่ศีรษะ 1 แผล และถูกแทงที่ลำตัว 5 แผล แต่โชคดีไม่เข้าจุดสำคัญ ยังมีสติอยู่แต่เสียเลือดมาก จึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลรักษาบาดแผลทันที
จากการสอบสวน นายต๋อย อายุ 72 ปี เพื่อนบ้าน ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุทั้งคู่ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงาน โดยคนบาดเจ็บเป็นลูกน้อง ได้มานั่งดื่มสุรากัน เพื่อจะคุยกันเรื่องฝากคนเข้าทำงาน แต่ปรากฏว่าพอเหล้าเข้าปาก จู่ๆ ก็หันมาคุยเรื่องการเมือง โดยฝ่ายคนทำร้ายได้เปิดประเด็นเรื่องการเมือง โดยพูดเข้าข้าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
อีกฝ่ายจึงมีการตอบโต้กันไปมา จนเหตุการณ์เริ่มบานปลาย ฝ่ายผู้ได้รับบาดเจ็บได้ไล่ให้หัวหน้างานกลับบ้าน จึงทำให้อีกฝ่ายเกิดความไม่พอใจ จนเกิดการชกต่อยกันขึ้น ฝ่ายหัวหน้างานสู้ไม่ได้เพราะตัวเล็กกว่า จึงขี่จักรยานยนต์กลับออกไป
ผ่านไปประมาณ 15 นาที ฝ่ายหัวหน้างานได้ขี่จักรยานยนต์เข้ามา พร้อมเพื่อนรวม 4 คน มาจอดที่หน้าห้อง ผู้ได้รับบาดเจ็บ มายืนเรียกนายกฤษฎา จึงออกมาจากห้อง เป็นจังหวะที่ทั้ง 4 คน ถือมีดยืนรออยู่ จึงพุ่งเข้ารุมฟันไม่ยั้ง หลังจากที่นายกฤษฎาฟุบลงไปจมกองเลือด ทั้ง 4 คน ก็รีบขี่จักรยานยนต์หนีไป
ด้าน น.ส.จิตรี ปานทับ อายุ 42 ปี เพื่อนบ้านที่เห็นเหตุการณ์ เปิดเผยว่า เป็นการกระทำที่รุนแรง ที่ตั้งใจจะเอากันถึงตาย เพราะทั้ง 4 คน ถือมีดกันมาคนละเล่ม มีทั้งมีดสปาร์ต้า มีดปลายแหลม รุมเข้าฟันไม่ยั้ง โดยที่ไม่มีใครกล้าห้าม ส่วนสาเหตุได้ยินว่าทะเลาะกันเรื่องนายกฯประยุทธ์ ก่อนจะมีการชกต่อยกัน ส่วนคนก่อเหตุไม่ทราบชื่อ แต่เป็นหัวหน้าของผู้ได้รับบาดเจ็บ ที่ทำงานก่อสร้างอยู่ในพื้นที่ ต.มาบตาพุด จ.ระยอง
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ลงพื้นที่ตรวจสอบหาตัวผู้ก่อเหตุทั้ง 4 คนแล้ว และเตรียมสอบสวนผู้ได้รับบาดเจ็บหลังอาการพ้นขีดอันตราย ซึ่งขณะนี้อาการยังสาหัส เพราะเสียเลือดมาก ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล
