บุกรวบ พ่อค้า ‘เหี้ย’ กำลังจะชำแหละเพียบ สารภาพรู้ว่าผิด กม. แต่ทำนาไม่ได้กำไร

บุกรวบ พ่อค้า ‘เหี้ย’ พร้อมของกลางกำลังจะชำแหละเพียบ

เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่บ้านหลังหนึ่งในตำบลบ้านโข้ง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.วัชรินทร์ พสิทธิ์ ผบก.ปทส. พ.ต.อ.อริยพล สินสอน รอง ผบก.ปทส. พต.อ.วิญญ แจ่มใส ผกก.2 บก.ปทส., พ.ต.อ.ภัทรวุธ อ่อนช่วย เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรอู่ทอง

เจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษ สำนักงานสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามที่ 1 (ภาคกลาง) กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เจ้าหน้าที่สายตรวจปราบปรามด้านสัตว์ป่า สายที่ : สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) ได้สืบทราบว่าที่บ้านหลังดังกล่าวมีการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

จึงนำกำลังไปตรวจสอบทันที เมื่อไปถึงพบของกลาง ซากตัวเหี้ยวางอยู่บนพื้นและอยู่ในกะละมัง ส่วนตัวเหี้ยที่ยังมีชีวิตอยู่ในบ่อปูนซีเมนต์บริเวณชายคาบ้าน และพบเต่าบึงหัวเหลืองและเต่านาอยู่ในโอ่ง บริเวณข้างบ้านด้านทิศตะวันออก

Advertisement

พบ นายมนต์ อายุ 73 ปี รับว่าเป็นเจ้าของบ้านหลังดังกล่าว พร้อมทั้งพาเจ้าหน้าที่เข้าทำการตรวจสอบภายในบริเวณบ้าน จากการตรวจสอบได้พบสัตว์ป่าคุ้มครองจำพวกสัตว์เลื้อยคลาน จำนวน 4 ชนิด ได้แก่ ตัวเหี้ยที่ยังมีชีวิตอยู่ในถุง จำนวน 32 ตัว ซากตัวเหี้ยวางกองอยู่กับพื้นและอยู่ในกะละมัง จำนวน 59 ซาก เต่านาจำนวน 20 ตัว เต่าหับจำนวน 2 ตัว และเต่าดำจำนวน 6 ตัว อยู่ในโอ่งมังกรจำนวน 4 ใบ

สอบถามนายมนต์ ได้ให้การรับว่าตัวเหี้ยและเต่าที่พบเป็นของตนจริง โดยได้รับซื้อมาจากชาวบ้านอีกทีหนึ่งเพื่อทำการแปรรูปแล้วจำหน่ายให้กับ นายประสิทธิ์ อายุ 67 ปี พ่อค้าที่มารับซื้อได้มานั่งรออยู่กับตนเพื่อรอรับของนำไปจำหน่ายต่อและยังได้พบกลุ่มบุคคลที่มารับจ้างชำแหละแปรรูป จำนวน 5 คน บุคคลทั้ง 5 คน ที่ตรวจพบกำลังนั่งจับกลุ่มเพื่อทำการชำแหละตัวเหี้ย เจ้าหน้าที่ได้สอบถามแล้ว

Advertisement

ได้ความว่า ได้มารับจ้างจากนายมนต์ เพื่อทำการชำแหละตัวเหี้ยได้รับค่าจ้างวันละ 300 บาท โดยไม่ทราบว่าสัตว์ดังกล่าวเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองที่มีไว้เป็นความผิดและได้มาถูกต้องหรือไม่อย่างไร กลุ่มของตนเองเป็นแค่เพียงผู้รับจ้างเท่านั้น

เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งให้ทราบว่าสัตว์ป่าดังกล่าวเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามกฎกระทรวง กำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง พ.ศ.2546 และการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 ข้อหา “ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 5 แสนบาท ร่วมกันค้าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงาน เจ้าหน้าที่” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ส่วนนายประสิทธิ์ให้การรับว่า ตนเองเป็นเพียงผู้มารับซื้อซากเหี้ยที่ได้ทำการชำแหละแล้ว จำนวน
59 ตัว เท่านั้น เพื่อนำไปจำหน่ายต่อโดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวเหี้ยที่ยังมีชีวิตอยู่และเต่าจำนวนดังกล่าว
แต่อย่างใด

ผู้ถูกจับทั้ง 2 ราย 1.นายมนต์ 2.นายประสิทธิ์ ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำความผิดซึ่งหน้าอันเป็นเหตุให้เจ้าพนักงานตำรวจและเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมสามารถจับได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ

ด้าน นายมนต์ กล่าวว่า ตนรับซื้อเพราะมีคนมาขายให้ ตนก็รับซื้อไว้ขายต่อ เพราะมีคนมารับซื้ออีกที ตัวเงินตัวทองก็ขายกิโลกรัมละ 25 บาท มีพ่อค้ามาจากต่างจังหวัดมารับซื้อและก็จ้างคนมาชำแหละตรงที่บ้านตนเลย กำไรก็แค่กิโลละ 5 บาท

เขาว่าเอาไปกินกัน แต่ตนไม่เคยกิน ส่วนเต่าก็ซื้อมาและขายต่อให้พวกที่ชอบทำบุญปล่อยเต่า ก็ขายตัวละ 100-150 บาท ตนรู้ว่าผิดกฎหมาย แต่ก็ไม่รู้จะทำอาชีพอะไร มีแค่ทำนาปี ขายข้าวก็ไม่ได้กำไร ตนเพิ่งหันมาขายตัวเงินตัวทองก็ช่วงหมดโรคระบาดโควิดนี่แหละ ประมาณ 6-7 เดือน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image