วันที่ 17 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกษตรกรในพื้นที่ ต.โคกสูง อ.เมือง จ.นครราชสีมา ซึ่งปลูกข้าวนาปรังบริเวณริมถนนสายนครราชสีมา – ชัยภูมิ ต่างพากันทิ้งนาข้าวให้ยืนต้นตายกว่า 100 ไร่ ภายหลังจากที่น้ำในลำน้ำธรรมชาติแห้งขอด ไม่สามารถสูบน้ำขึ้นมาหล่อเลี้ยงต้นข้าวได้ ส่งผลให้นาข้าวมีสภาพดินแห้ง แตกระแหงเป็นบริเวณกว้าง และข้าวนาปรังที่เกษตรกรปลูกทิ้งไว้อายุประมาณ 1 เดือน ได้ทยอยแห้งตายเป็นจำนวนมาก
นางนาตยา สิทธิเสือ อายุ 35 ปี เกษตกรชาว ต.โคกสูง อ.เมือง จ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า โดยปกติแล้วพื้นที่บริเวณนี้ จะสามารถปลูกข้าวนาปรังได้ทุกปี เนื่องจากอยู่ใกล้ลำน้ำธรรมชาติ ที่รับน้ำมาจากอ่างเก็บน้ำลำเชียงไกร อ.ด่านขุนทด แต่มาในปีนี้ทางจังหวัดนครราชสีมา ได้แจ้งว่าน้ำในอ่างเก็บน้ำต่างๆ เหลือน้อยกว่าทุกปี จึงขอความร่วมมือให้งดทำนาปรัง ซึ่งเกษตรกรหลายรายก็งดการปลูกข้าวนาปรังตามที่ทางจังหวัดแจ้งมา โดยตนซึ่งมีที่นาประมาณ 6 ไร่ ก็งดทำนาปรังด้วย แต่มีเกษตรกรบางราย ที่ยังคงฝืนทำนาปรัง เพราะมั่นใจว่าน้ำที่เหลือในคลองธรรมชาติเล็กน้อย จะสามารถใช้ได้ถึงฤดูเก็บเกี่ยว แต่ในที่สุดน้ำก็แห้งหมดลงอย่างรวดเร็ว จนถึงขณะนี้น้ำในคลองธรรมชาติแห้งหมดไปกว่า 1 เดือนแล้ว ทำให้ผู้ที่ปลูกข้าวนาปรังต้องทิ้งให้ข้าวยืนต้นตายกว่า 100 ไร่ แล้วไปทำอาชีพรับจ้างทั่วไปแทน
ด้านนายวิเชียร จันทรโณทัย กล่าวถึงสถานการณ์ภัยแล้งของ จ.นครราชสีมา ว่าล่าสุดจังหวัดนครราชสีมา มีการประกาศเขตภัยพิบัติแล้งเป็น 10 อำเภอ 62 ตำบล 659 หมู่บ้าน พื้นที่การเกษตรเสียหายกว่า 466,000 ไร่ โดยพื้นที่ที่วิกฤตหนักที่สุด คือบริเวณเชื่อมต่อระหว่าง ต.โคกสูง อ.เมือง กับ อ.โนนไทย ไปจนถึง อ.พระทองคำ เนื่องจากอ่างเก็บน้ำลำเชียงไกรตอนล่าง อ.โนนไทย น้ำได้แห้งขอดหมดแล้ว ขณะที่ทางจังหวัด พยายามขอให้ปล่อยน้ำจากอ่างเก็บน้ำลำเชียงไกรตอนบน อ.ด่านขุนทด แต่ทางชลประทานไม่สามารถปล่อยน้ำมาให้ได้ เพราะมีปริมาณน้ำเหลืออยู่เพียง 4 ล้านลูกบาศก์เมตรเท่านั้น ส่วนการขุดเจาะน้ำบาดาลก็ประสบกับปัญหาดินเค็มอีก จึงทำให้พื้นที่ดังกล่าวขาดน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคเป็นอย่างมาก ตอนนี้ทางจังหวัดจึงกำลังเร่งหาแหล่งน้ำอื่นแทน เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของชาวบ้านให้พ้นวิกฤติภัยแล้งให้ได้ต่อไป นายวิเชียร กล่าว