เสี่ยวัยดึกเมืองอุดรฯ แฉอดีตลูกสะใภ้แสบโกงเงิน 14 ล้าน ศาลให้ผ่อนจ่าย แต่ตีมึน ‘ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย’

เสี่ยวัยดึกเมืองอุดรฯ แฉอดีตลูกสะใภ้แสบโกงเงิน 14 ล้าน ศาลให้ผ่อนจ่าย แต่ตีมึน ‘ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย’

เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2567 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากนายนาวี หรือเสี่ยศักดิ์ อายุ 80 ปี ชาว อ.เมือง จ.อุดรธานี ว่าถูก น.ส.ทราย อายุ 49 ปี อดีตลูกสะใภ้ ฉ้อโกงเงินไปกว่า 14 ล้านบาท โดยนำหลักฐานเอกสารที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงและให้ข้อมูล ซึ่งเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2565 ศาลจังหวัดอุดรธานีตัดสินให้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ให้ลูกสะใภ้ฝ่ายจำเลยจ่ายเงินคืนด้วยการผ่อนชำระ แต่ถึงตอนนี้ลูกสะใภ้ยังไม่จ่ายคืนสักบาท ตามไปทวงถามก็บอกกับอดีตพ่อผัวว่า “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย”

เสี่ยศักดิ์เล่าว่า สมัยก่อนทำธุรกิจที่อุดรธานี มีค่ายมวย “ศักดิ์มงคล” อู่ซ่อมรถ ค้าทองคำแท่ง ค้าไม้ จนมีฐานะร่ำรวย มีลูก 3 คน คนโตและคนเล็กเป็นผู้ชาย คนกลางเป็นผู้หญิง ตนมีอาคารพาณิชย์อยู่ปากซอยจินตคาม ทน.อุดรธานี 6 คูหา และโอนอาคารให้ภรรยา ลูก และหลาน ไปหมดแล้ว รวมทั้งนายประสิทธิ์ อายุ 47 ปี ลูกชายคนสุดท้อง เมื่อปี 2549 น.ส.ทราย มาเช่าอาคารทำธุรกิจขายชุดนักศึกษา และได้รู้จักกับนายประสิทธิ์ จนคบหากัน เดือนมกราคมปี 2550 ตนป่วย ต้องเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาล ทั้งสองก็มาเยี่ยมตนตามปกติ แต่ก็เปรยว่าอยากแต่งงานสร้างครอบครัว เพราะอายุเยอะแล้ว

เดือนมีนาคม 2550 ตนกลับมารักษาตัวที่บ้าน ทั้งสองก็ไปมาหาสู่กัน และบอกตนว่า น.ส.ทราย จะทำธุรกิจซื้อขายรถยนต์ ตอนนี้หุ้นส่วนโอนหุ้นให้หมดแล้ว ตนก็เลยเสนอว่าให้ใช้พื้นที่อาคารพาณิชย์เป็นโชว์รูม และใช้พื้นที่นอกเมืองเป็นที่เซอร์วิสก็ได้ ระหว่างนั้นก็มาพูดคุยถึงความคืบหน้า ส่วนลูกชายก็มีธุรกิจร้านแก๊สรถยนต์อยู่แล้ว เดือนพฤษภาคม 2555 เขาทั้งสองก็จดทะเบียนกัน เขาก็พาลูกชายตนมาอ้อนขอให้ช่วยเหลือเรื่องเงินทุนในการสร้างโชวร์รูม ตนก็อยากเห็นเขาเติบโต ก็เลยไม่ได้คัดค้านอะไร เขาก็พากันไปจัดการนำอาคารพาณิชย์ไปจำนองกับธนาคารเอาไปลงทุน

ADVERTISMENT

เสี่ยศักดิ์เล่าอีกว่า ตอนแรกก็บอกตนว่าจำนองได้มา 6 ล้าน แต่ได้เงินมาก่อนเพียง 3 ล้าน ที่จริงแล้วได้เงินมา 9 ล้าน ตนก็ยังไม่ได้เอะใจอะไร ก็เห็นเขาตั้งใจและเขาก็รักลูกชายเราดี พาไปเที่ยว ไปใช้ชีวิตด้วยกันบ่อยๆ ตุลาคม 2555 น.ส.ทรายบอกว่าต้องนำเงินไปจ่ายค่าก่อสร้างสาขาที่ลาว 1 ล้านบาท ตนก็บอกอยู่ว่าให้เลื่อนจ่าย ค่อยหาไปจ่าย แต่เขาก็พาลูกชายตนมาคะยั้นคะยอ บอกจะจ่ายคืนภายใน 1 เดือน ตนจึงเอาทองคำแท่งที่สะสมไว้ให้ไปขาย ตนให้ไป 78 บาท ได้เงินมาเกือบ 1 ล้าน โดยไม่มีสัญญาอะไร พอสิ้นเดือนเขาก็โอนให้จริง คิดว่าเขาคงเห็นจุดนี้ จึงเริ่มที่จะฉ้อโกงเพิ่มเติม

7 ธันวาคม 2555 น.ส.ทรายอ้างว่าต้องใช้เงิน 5 ล้าน เอาไปวางประกันในบัญชี เพื่อซื้อขายรถหรู 3 คัน คันละ 1 ล้าน และอยากได้เงินเก็บไว้ทำธุรกิจ 2 ล้าน ตนเลยพาทั้งสองไปถอนเงินที่ธนาคารให้ และให้ น.ส.ทรายทำสัญญากู้ยืมชัดเจน ตีเช็คเพื่อคืนเงินให้เดือน 1.8 ล้าน 3 ใบ หลังจากนั้นก็เริ่มมีปัญหา อ้างว่ารถหรูที่ซื้อไว้ 1 คัน ถูกไฟไหม้ระหว่างขนส่ง ที่ลำคอง โคราช จนเสียหายขาดทุน อาคารพาณิชย์ที่จำนองก็ไม่จ่าย เงิน 5 ล้าน ตนก็เริ่มบ่ายเบี่ยง อ้างว่ายังไม่มีกำไร ขาดทุนนู่นนี่ ขาดสภาพคล่อง ซึ่งตนก็ยังไม่เห็นอะไรเป็นรูปเป็นร่าง มีแต่เอาสัญญาซื้อขายอะไรมาให้ดู ซึ่งใครก็ทำขึ้นมาได้

ADVERTISMENT

เสี่ยศักดิ์ระบายเพิ่มเติมว่า ระหว่างหลายปีผ่านมาเขาก็ยังอยู่ด้วยกัน จนปลายปี 2560 ตนจะขายที่ 1 แปลง ที่เป็นชื่อของลูกชาย แต่ตนเก็บโฉนดไว้เองทั้งหมด ตนก็ไปที่ที่ดิน ก็มาทราบว่าที่ดินถูกอายัดไว้ 4 แปลง ตนก็สอบถามจนรู้ว่า ลูกสะใภ้กู้ยืม เอาไปจำนอง ตนก็ต่อว่า และรู้ความจริงอีกว่าเขาหย่ากันตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2556 อ้างว่ามีปัญหาการเงิน ไม่อยากให้ถูกยึดทรัพย์ไปทั้งสองคน พอเกิดเรื่องขึ้น น.ส.ทรายก็ออกจากบ้านไป พอไปตรวจสอบก็พบอีกว่าอาคารพาณิชย์ที่จำนองไว้ก็ไม่มีการผ่อนชำระ ธนาคารเตรียมจะยึดทรัพย์แล้ว ตนก็ต้องไปเอาเงินเก็บและขายทองไปไถ่ออกมาจำนวน 13 ล้านบาท เรื่องนี้ตนเจ็บใจมาก แต่ก็มองว่าลูกชายเราเองที่พลาดไป

หลังจากนั้นตนก็ดำเนินการฟ้องร้อง น.ส.ทราย เรื่องเงิน 5 ล้าน และเงินส่วนอื่นเท่าที่จะมีหลักฐานเรื่อยมา จนวันที่ 9 ธันวาคม 2565 ศาลตัดสินไกล่เกลี่ยทำสัญญาประนอมหนี้กัน ให้เขาผ่อนจ่าย เขาก็ยินยอมรับสภาพหนี้ แต่ที่สุดแล้วจนถึงวันนี้ น.ส.ทราย ยังไม่จ่ายตนสักบาทเดียว ทราบว่าเขามีธุรกิจร้านกระจกรถยนต์ อยู่ถนนรอบเมืองอุดรธานี ตนก็คอยไปทวงถามเงิน เขาก็นิ่งเฉย ซ้ำยังบอกไม่มี ไม่หนี้ ไม่จ่าย ตนคับแค้นใจมาก จึงต้องขอให้ผู้สื่อข่าวช่วยตีแผ่เรื่องนี้ด้วย ไม่นึกว่าจะมาเจอลูกสะใภ้แบบนี้ อยากให้มีจิตสำนึกบ้าง เงินตนหามาทั้งชีวิต อยากให้เขาหามาคืนบ้าง อยากจะบอกว่าเงินที่เอาไป หากดูแลกันอยู่ด้วยกัน ตนมีให้เขามากกว่านี้อีก ฟ้องร้องกันเป็น 10 ปี ตอนนี้ตนยาก ยากมาก มีเรื่องคิดมาก แต่ไม่ได้ยากจน ถ้าคิดดีดีแล้วมันไม่ใช่แค่ 14 ล้าน ตนต้องมาจ่ายดอกเบี้ยอะไรต่างๆ รวมแล้วเป็นเงินกว่า 30 ล้าน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image