ลูกเจ้าของโรงน้ำแข็งแฉ พ่อแอบพ่วงไฟใช้ แถมจนท.แอบส่งซิก ยอมถูกตัดจากกองมรดกดีกว่าเสี่ยงคุก

ลูกชายเจ้าของโรงงานน้ำแข็ง ร้องพ่อแอบลักลอบต่อพ่วงใช้ไฟฟ้า ร้องไปปีกว่าแต่เรื่องไม่คืบ แถมพบเจ้าหน้าที่ไฟฟ้าส่งซิกก่อนส่งคนมาตรวจโรงงาน ยอมถูกตัดออกจากกองมรดกดีกว่าเสี่ยงคุก

เมื่อวันที่ 28 มีนาคม นายเอ (นามสมมุติ) อายุ 39 ปี อดีตผู้จัดการโรงงานน้ำแข็งแห่งหนึ่งในเขต อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี ได้ร้องกับผู้สื่อข่าวว่า ตนเป็นลูกชายคนโต ของเจ้าของโรงงานน้ำแข็งชื่อดังในจังหวัดนนทบุรี เคยทำหน้าที่เป็นผู้จัดการโรงงานน้ำแข็งแห่งนี้มานานหลายปี ก่อนจะตัดสินใจลาออกจากโรงงานเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2565 หลังได้รู้ความจริงว่า โรงงานผลิตน้ำแข็งของพ่อตน มีการลักลอบแอบพ่วงไฟฟ้ามาใช้ในการผลิตน้ำแข็งขาย จึงได้ทักท้วงให้พ่อหยุดการกระทำดังกล่าว แต่พ่อกลับอ้างว่าไม่ได้ทำ

นายเอ กล่าวว่า จากนั้นเมื่อตนนำค่าไฟฟ้าย้อนหลังในแต่ละปีมาตรวจสอบดูก็พบว่ามีความผิดปกติอยู่ จากเดิมที่เคยจ่ายอยู่เดือนละเกือบ 400,000 บาท กลับมาเหลืออยู่เพียง 200,000 กว่าบาท ทำให้ตนตัดสินใจขอลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการโรงงานน้ำแข็งดังกล่าว เพราะเกรงว่าวันหนึ่งหากทางโรงงานน้ำแข็งของพ่อตนถูกร้องเรียนตรวจสอบเหมือนคราวที่ถูกเจ้าหน้าที่บุกตรวจค้นเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าว หรือค้ามนุษย์แบบครั้งก่อน ตนจะถูกดำเนินคดีแล้วติดคุกอีกครั้ง

“เพราะในครั้งนั้นที่ตนต้องขึ้นศาลไปถูกพิจารณาในฐานะผู้จัดการโรงงาน ศาลยังได้ตักเตือนตนเอาไว้ว่า อย่าไปมีส่วนรวมในความผิดทำนองนี้อีก เมื่อรู้ว่ามีความผิดแล้วแต่ไม่ทักท้วง หรือห้ามปรามก็เท่ากับรู้เห็นเป็นใจให้กระทำการนั้นไปด้วย”

Advertisement

นายเอ กล่าวอีกว่า ตนจึงตัดสินใจเดินไปบอกกับพ่อ ซึ่งเป็นเจ้าของโรงงานน้ำแข็งว่า ขอลาออกจากการเป็นผู้จัดการโรงงาน แล้วช่วยเอาชื่อออกจากโรงงานไปด้วย ไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับโรงงานแห่งนี้อีกต่อไป และตนจะเปลี่ยนชื่อแล้วกลับไปใช้นามสกุลของแม่แทน ส่วนเรื่องมรดกในอนาคตนั้น ตนไม่คาดหวังอยู่แล้ว ยอมรับในสิ่งที่ตนได้ตัดสินใจลงไปและยอมให้พ่อตัดชื่อออกจากกองมรดกยังดีกว่าที่ได้รับมรดกมาแล้วต้องมาติดคุกแทน โดนที่ไม่ได้ใช้เงิน แบบนั้นยอมถูกตัดชื่อไม่มีอะไรดีกว่า มีแรงมีลมหายใจก็สร้างด้วยตัวเองได้

นายเอ กล่าวอีกว่า หลังตนลาออกจากโรงงานมาได้ปีกว่า ๆ ตนได้นำพยานหลักฐานต่างๆ ที่โรงงานแอบพ่วงไฟฟ้าหลวงมาใช้ในการผลิตน้ำแข็งส่งไปให้ทางการไฟฟ้าให้รับทราบข้อมูลเพื่อทำการตรวจสอบ แต่ปรากฏว่าเรื่องไม่มีความคืบหน้าอะไรกลับมาเลย แถมยังมีคนจากการไฟฟ้าแอบนำเอาเรื่องร้องเรียนไปบอกกับพ่อของตน ก่อนที่จะมีเจ้าหน้าที่การไฟฟ้ามาลงตรวจสอบในโรงงาน จนทำให้พ่อของตนตั้งหลักได้ทันด้วยการส่งลูกน้องมาแก้ไขด้วยการเอาสายไฟฟ้าที่พ่วงออกไป และมีการพูดคุยตกลงกันกับเจ้าหน้าที่ไฟฟ้าในภายหลังว่า เกิดจากปัญหาอุปกรณ์ชำรุด

Advertisement

“จึงทำให้ตนข้องใจเกี่ยวกับระบบการทำงานของเจ้าหน้าที่ไฟฟ้าในพื้นที่ว่า รู้เห็นเป็นใจกับทางโรงงานปล่อยปะให้มีการลักลอบเกี่ยวไฟฟ้าหลวงมาใช้ในโรงงานแห่งนี้หรือไม่ เพราะตนร้องเรียนพร้อมกับส่งพยานหลักฐานให้ทั้งหมดแล้วแต่เรื่องก็เงียบเหมือนไม่มีการกระทำผิดเกิดขึ้นเลย ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้าตนต้องการร้องเรียนให้ตรวจสอบเงียบ ๆ เท่านั้น แต่เมื่อไม่ได้รับคำตอบชี้แจงใด ๆ”

นายเอ กล่าวว่า ตนจำเป็นต้องร้องเรียนกับผู้สื่อข่าวแทน แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นการร้องเรียนพ่อแท้ๆ ก็ตาม ซึ่งตนคิดว่าใครทำผิดคนๆนั้นก็ต้องรับกรรมที่ทำไว้ไป ไปให้ลูกหรือคนอื่นมารับกรรมแทนไม่ได้ และคนเราเมื่อทำผิดมาแล้วก็ไม่ควรจะทำผิดอีกเป็นครั้งที่ 2 เมื่อพ่อกระทำผิดก็ต้องรับผลกรรมที่ทำนั้นด้วย

นายเอ กล่าวอีกว่า หลังตนลาออกมาได้ปีกว่า ๆ แล้ว ก็ไม่รู้ว่าปัจจุบันโรงงานแห่งนี้ของพ่อเลิกแอบพ่วงไฟฟ้าหลวงมาใช้อีกหรือไม่ เพราะตนได้ท้วงติงก่อนจะขอลาออกไปแล้วว่า ขอให้พ่อหยุดการกระทำแบบนี้ แม้ตนจะถูกพ่อด่ากลับมาว่าไอ้ลูกทรพีก็ตาม แต่ตนก็ยังรู้สึกสบายใจมากกว่าที่ลาออกมาทำงานหากินแบบสุจริต ดีกว่าไปมีตำแหน่งแล้วนั่งรอว่าวันหนึ่งวันใดตนจะต้องติดคุกอีกครั้งเพราะพ่อ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image