กลุ่มพิทักษ์ป่าหนองขาม นำป.ป.ช.ตรวจสอบบุกรุกป่าสงวน ‘ป่าคำใหญ่-ป่าคำขวาง’

กลุ่มพิทักษ์ป่าหนองขาม นำป.ป.ช.ตรวจสอบบุกรุกป่าสงวน ‘ป่าคำใหญ่-ป่าคำขวาง’ เอาผิด 15 ‘นายทุน-นักการเมือง-ขรก.ท้องถิ่น’ 

เมื่อวันที่ 29 มีนาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แกนนำกลุ่มหนองขามพิทักษ์ป่า ลงพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าคำใหญ่และป่าคำขวาง หมู่ที่ 14 และหมู่ที่ 15 ของบ้านหนองขาม เพื่อสำรวจพื้นที่ป่ากว่า 2,000 ไร่ ซึ่งมีการลักลอบ ตัดไม้ แล้วขนออกเพื่อปรับพื้นที่ให้มีสภาพเป็นพื้นที่ดิน พื้นที่ป่าเสื่อมโทรม โดยพวกกลุ่มนายทุน สมคบกับนักการเมือง และข้าราชการ สังกัดการปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีการร้องเรียนเรื่องราวไปยัง สำนักงาน ป.ป.ช.ร้อยเอ็ด ให้ลงมาตรวจสอบ

ซึ่งจากการลงสำรวจก่อนที่ ผอ.ป.ป.ช.จะเดินทางมาถึง ก็ยังพบว่ามีการตัดไม้ใหม่หมาดๆ กองทิ้งไว้เพื่อรอขนออก พร้อมกันนั้นก็ยังพบเลื่อยยนต์ พร้อมรถจักรยานยนต์ของกลุ่มลักลอบตัดไม้ ซึ่งพอได้ยินเสียง รถยนต์ของชาวบ้านกลุ่มพิทักษ์หนองขาม เข้าไปในพื้นที่ จึงทิ้งทั้งเลื่อยยนต์ รถจักรยานยนต์ และกระติกน้ำดื่มไว้ แล้ววิ่งหนีไป จึงมีการยึดไว้เป็นหลักฐาน เพื่อตรวจสอบหาผู้มีส่วนร่วมในการกระทำผิด

เมื่อผอ.ป.ป.ช.มาถึง แกนนำกลุ่มหนองขามพิทักษ์ป่า ก็ได้พาคณะของป.ป.ช.ลงพื้นที่ตรวจสภาพการบุกรุกตัดไม้ทำลายป่า พร้อมส่งข้อมูลรายชื่อกลุ่มนายทุนนอกพื้นที่ 4 ราย อยู่เบื้องหลังการบุกรุกทำลายป่าด้วย นอกจากนี้ยังมีผู้บริหารระดับสูงที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น ข้าราชการ ระดับท้องถิ่น 11 ราย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดไม้เพื่อถือครองที่ดินผิดกฎหมาย โดยกลุ่มหนองขามพิทักษ์พื้นที่ป่า ได้นำรายชื่อมอบให้กับ ผอ.ป.ป.ช.ไว้เป็นหลักฐานเพื่อการตรวจสอบสอบสวน ลงโทษผู้กระทำความผิด

Advertisement

ก่อนที่จะพาสำรวจพื้นที่ซึ่งมีการบุกรุกตัดต้นไม้ และปักเสาคอนกรีต เตรียมรั้วเพื่อถือครองพื้นที่ส่วนที่ถูกตัดไม้ออกไปแล้ว และนอกจากนั้นยังมีพื้นที่อื่น ซึ่งมีการถือครองเป็นเวลานาน ด้วยการทำเป็นสวนยางพารา และปลูกต้นยูคาลิปตัส ในพื้นที่ที่ถือครอง อยู่เป็นจำนวนมากซึ่งต้องการให้ป.ป.ช.ดำเนินการตรวจสอบความผิดถูก และชี้จุดให้ชัดว่า เป็นพื้นที่ซึ่งได้รับการจับจองมาดูถูกต้องหรือไม่

และอยากให้ทาง ป.ป.ช . ช่วยตรวจสอบให้เกิดความชัดเจนว่าพื้นที่ที่บุกรุกดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ซึ่งกำหนดให้ถือครองได้ตามคณะกรรมการจัดสรรที่ดินทำกินแห่งชาติ (คทช.)กำหนดเขตไว้หรือไม่ ซึ่งนายสุพรรณ ปทุมมาศ ผญบ.หมู่ 15 บ้านหนองขาม กล่าวว่า อยากให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องช่วยชี้แนวเขตที่ชัดเจนว่าเหลืออยู่แค่ไหน หากไม่มีก็ต้องชี้แนวให้ชัด เพราะประชาชนไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน มีแต่นายทุนเท่านั้นที่รู้ แล้วพากันบุกรุกต่อเนื่องตลอดเวลา และหากไม่เหลือก็จะเลิกต่อสู้

ด้านนายสุพล หาญกล้า ผญบ.ม.14 กล่าวว่า ที่รวมกลุ่มกันออกมาเคลื่อนไหว เพราะจากพื้นที่ทั้งหมด 2,200 ไร่ ที่ถูกบุกรุกลักลอบแผ้วถางจับจองจากการสำรวจเมื่อปี 2565 ก็ถูกทำลายไปแล้วกว่า 1,000 ไร่ จนมีการตั้งเครือข่ายหนองขามพิทักษ์รักษ์บ้านเกิดขึ้นมาเพื่อพิทักษ์ผืนป่าชุมชนก็ยังมีการบุกรุกเพิ่มอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา จากทั้งนายทุนนอกพื้นที่ และผู้นำทางการเมืองระดับตำบลหลายคน เจ้าหน้าที่รัฐระดับตำบลหลายคนจึงรวบรวมรายชื่อได้ 11 คน รวมทั้งนายทุนนอกพื้นที่อีก 4 คน มายื่นผอ.ป.ป.ช.เพื่อตรวจสอบ ยับยั้ง และสอบสวนเอาผิดกับการกระทำอุกอาจดังกล่าวให้หยุดทำลายป่าชุมชนแหล่งสุดท้ายของพื้นที่ อ.อาจสามารถ

Advertisement

เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร ร้องไปที่ไหนก็เงียบ แล้วก็มาบุกรุกใหม่ ทั้งที่ร้องเรียนไปทุกแห่งที่เกี่ยวข้องแล้วก็ไม่มีความเคลื่อนไหว มีการลงพื้นที่บ้าง แต่ก็เงียบไป ซึ่งหมดหวังที่จะร้องไปที่ใครอีก จึงร้องให้สื่อมวลชนช่วยเข้ามาแก้ปัญหา และต่อต้านการใช้เทคนิคทางกฏหมายเข้ามาบุกรุกไม่หยุด จนที่ดินสาธารณะกลายเป็นมีการครอบครองเป็นเอกสารสิทธิ์ไปเกือบหมดแล้ว

ร.อ.สายัณห์ เสลมาตร แกนนำทหารนอกราชการ กล่าวว่า การต่อสู้และตรวจสอบตลอดมา พบว่ามีความผิดปกติ ตรวจสอบจากรายชื่อผู้ครอบครองที่ดิน ไม่เข้าเงื่อนไขของ คทช.ที่กำหนดว่าผู้ครอบครองที่ดินต้องเป็นเกษตรกรยากจน มีรายได้ไม่ถึง 30,000 บาทต่อปี ต้องไม่มีที่ทำกิน ไม่มีที่อยู่อาศัยซึ่งเมื่อไปตรวจดูรายชื่อผู้ได้รับสิทธิ์ คทช. ไม่พบมีผู้ได้รับสิทธิจริงๆ ได้ถือครองที่ดิน

“ตรวจสอบ 300 รายชื่อ พบว่ามีคนที่เข้าข่ายควรได้รับสิทธิไม่ถึง 20 ราย ส่วนที่เหลือ ไม่ได้เป็นเกษตรกร และไม่ได้ยากจน อีกทั้งยังพบเกษตรกรส่วนหนึ่งที่มีที่ดินทำกินอยู่แล้ว ก็ไปรุกป่าเพิ่ม เพื่อขอใช้สิทธิ คทช.และกระบวนการคทช.โดยสำนักงานป่าไม้ก็ไม่ได้ตรวจสอบคุณสมบัติชัดเจน ก็ให้ครอบครองที่ดินได้ จนเกิดเหตุการณ์รุกที่ดินครั้งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตลอดมา ซึ่งล่าสุดจากการลงตรวจสอบพื้นที่ พบว่าพื้นที่ป่าแทบไม่เหลือแล้ว” ร.อ.สายัณห์ กล่าว

ร.อ.สายัณห์ กล่าวต่อว่า บริเวณดังกล่าว เป็นป่าผืนสุดท้ายที่มีเนื้อที่ 20,200 ไร่ กลายเป็นพื้นที่จัดสรร คทช.ไปแล้ว 1,700 ไร่ เหลือเพียงพื้นที่ป่าอุดมสมบูรณ์เพียง 500 ไร่ ที่ยังคงความเป็นป่าที่ไม่มีการรุกเข้าไปทำประโยชน์ ซึ่งอยากให้มีการอนุรักษ์ไว้ ซึ่งเคยร้องเรียนไปหลายแห่งทั้ง ป.ป.ช., สำนักนายกรัฐมนตรี, กรรมาธิการ(กมธ.)สภาผู้แทนราษฏร ก็มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ทั้งในพื้นที่โดยฝ่ายปกครอง และผู้ว่าราชการจังหวัดก็สั่งการให้ในพื้นที่ร่วมกันแก้ปัญหา แต่ก็ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ จริงจัง และป.ป.ช.เคยลงมาทำเรื่องไต่สวนแล้วหลายประเด็น รวมถึงมีการตัดถนนลาดยางเข้าไปในเขตป่า เป็นการส่งเสริมการบุกรุกป่าเพิ่มขึ้น และกระบวนการจัดสรรที่ดิน คทช.ก็ไม่เป็นไปตามกระบวนการและหลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง ภายใต้การดูแลของที่ดิน ของป่าไม้ มี อบต. มีอำเภอ มีจังหวัดดำเนินการ พบว่าจำนวนมากไม่ตรงตามหลักเกณฑ์ ซึ่งพบรายชื่อผู้รับสิทธิหลายร้อยรายที่ไม่ตรงตามหลักเกณฑ์

นอกจากนั้น ยังมีการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินทำกินโดยมิชอบ ที่เป็นนส. 3 และเป็นโฉนด หลายแปลงในป่า ซึ่งการต่อสู้ 2 ปีสุดท้าย ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย จึงร้องเรียนสื่อขอให้เข้ามาช่วยพิสูจน์ ตีแผ่ข้อเท็จจริง เพื่อให้ความถูกต้องเกิดขึ้น

ในขณะที่ในส่วนของ นายอนุชา พึ่งบุญศรี ผอ.ป.ป.ช.ที่ลงพื้นที่ กล่าวว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นของแผนที่ และกรณีที่บุคคลได้รับสิทธิทำกินและใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแห่งนี้ ปรากฏว่าเขตค่อนข้างจะใกล้เคียงกัน

อย่างไรก็ตาม ทางสำนักงานป.ป.ช.จะตรวจสอบร่วมกับป่าไม้อีกครั้งเพื่อให้ได้ค่าพิกัดที่แน่ชัดว่าบริเวณพื้นที่ที่เกิดการบุกรุกอยู่ในเขต คทช.หรือไม่ และผู้ที่บุกรุกเป็นใคร และหากที่ดินที่ครอบครอง ไม่ได้อยู่ในเขตของคทช.แล้ว ในส่วนของป.ป.ช.ก็จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ส่วนพื้นที่ในเขตป่าสงวนตามมติปี 2557 เราพบว่ามีการแบ่งพื้นที่ที่อยู่รอบๆ บริเวณเขตป่าสงวนเคยได้รับเรื่องร้องเรียนว่าผู้ครอบครองอาจจะไม่ใช่เกษตรกรตัวจริงนั้น ทางป.ป.ช.ยังไม่ได้รับเรื่องร้องเรียน ซึ่งต้องตรวจสอบต่อไป ส่วนกรณีที่มีการตัดถนน ลาดยางเข้าไปในเขตป่าสงวน ทางป.ป.ช.ได้มีการสอบสวนและสรุปเรื่องเสร็จแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่าง การพิจารณารายละเอียด เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image