ทลายบ่อนพนันกลุ่มทุนจีนเทา นัดเล่นกลางเกาะภูเก็ต เงินหมุนเวียน 5 ล้าน จ่อเสนอตม.ถอนวีซ่า-ขึ้นแบล๊กลิสต์

ทลายบ่อนพนันกลุ่มทุนจีนเทา นัดเล่นกลางเกาะภูเก็ต เงินหมุนเวียน 5 ล้าน จ่อเสนอตม.ถอนวีซ่า-ขึ้นแบล๊กลิสต์

เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พล.ต.ต.สินเลิศ สุขุม ผบก.ภ.จวภูเก็ต แถลงข่าว “ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ทลายบ่อนการพนันกลุ่มทุนจีนเทา” โดยมี พ.ต.อ.อกนิษฐ ด่านพิทักษ์ศาสตร์ รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต พ.ต.อ.ธีรวัฒน์ เลี่ยมสุวรรณ รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต พ.ต.อ.กิติพงษ์ คล้ายแก้ว รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต พ.ต.อ.เอกลักษณ์ บุญแสงเจริญ ผกก.สืบสวน ภ.จว.ภูเก็ต พ.ต.อ.ประเทือง ผลมานะ ผกก.สภ.เมืองภูเก็ต พร้อมชุดจับกุม และสื่อมวลชน เข้าร่วม ณ ห้องประชุมชั้น 2 กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต

พล.ต.ต.สินเลิศกล่าวว่า ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เรื่อง มาตรการการแก้ไขปัญหาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและคนต่างด้าวถูกหลอกหรือประกอบธุรกิจผิดกฎหมายและอาชญากรรมข้ามชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ได้กำชับและเร่งรัดให้มีผลการปฏิบัติ
อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม โดย พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผบช.ภ.8, พล.ต.ต.พรชัย ขจรกลิ่น รอง ผบช.ภ.8 จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ต.สินเลิศ สุขุม ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต, พล.ต.ต.เลิศชาย จำปาทอง ผบก.สส.ภ.8, พ.ต.อ.อกนิษฐ ด่านพิทักษ์ศาสตร์ รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต ดำเนินการสืบสวนจับกุมในกรณีดังกล่าว โดยเฉพาะกลุ่มทุนจีนที่เข้ามาในประเทศไทยและประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย โดยมีคนไทยช่วยสนับสนุน

ต่อมา เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 เวลาประมาณ 23.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ นำโดย พ.ต.ต.เอกลักษณ์ บุญแสงเจริญ ผกก.สืบสวน ภ.จว.ภูเก็ต พร้อมด้วย พ.ต.ต.เสกสิทธิ์ กุลเจริญ และ พ.ต.ต.บุญเสริม ชำนาญกิจ
สว.กก.สืบสวนและเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สืบสวน ภ.จว.ภูเก็ต สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยต่างๆ สืบสวนจนทราบว่า มีกลุ่มทุนจีนมาลักลอบเปิดการเล่นการพนัน โดยมีผู้ดูแลเป็นชาวไทย ที่บริเวณอาคาร PPSC (Phuket Poker Sport Club) ซอยพูนผล ต.ตลาดเหนือ อ.เมือง จ.ภูเก็ต จึงได้รายงานให้ ผู้บังคับบัญชาทราบ และวางแผนเข้าปฏิบัติการทลายจับกุมบ่อนการพนัน

ADVERTISMENT

ซึ่งผลการปฏิบัติได้ทำการจับกุมผู้ลักลอบเล่นการพนันผู้จัดให้มีการเล่นการพนัน สัญชาติไทย จำนวน 1 ราย และสัญชาติจีน จำนวน 13 ราย รวมทั้งสิ้น 14 ราย พร้อมทั้งได้ทำการตรวจยึดของกลางในการเล่นการพนันจำนวนหลายรายการ เช่น โต๊ะโป๊กเกอร์ จำนวน 4 ตัว, เครื่องเล่นการพนันยิงปลา จำนวน 2 เครื่อง, โต๊ะเล่นไพ่นกกระจอกไฟฟ้า จำนวน 5 ตัว, ชิปแลกเงินสดเฉพาะที่นำมาเล่นมูลค่า 1,030,000 บาท และของกลางอื่นๆ อีกรวมจำนวน 32 รายการ แล้วจึงนำตัวผู้ถูกจับกุมพร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองภูเก็ต ดำเนินคดีตามกฎหมาย

จากการตรวจสอบผู้เล่นเข้ามาเป็นนักท่องเที่ยวคนจีน ใช้วีซ่านักท่องเที่ยว ทั้งหมด ต่างคนต่างเข้ามา ตั้งแต่ ธันวาคม 67 และมกราคม 68 ไม่ได้มาเป็นกรุ๊ป และมารวมตัวกันเล่นการพนัน ที่บริเวณตลาดพูนผล เป็นกลุ่มปิด ที่ชักชวนกันมาเฉพาะกลุ่ม ถือว่าเป็นบ่อนการพนันที่ใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งภายในบ่อน มีโต๊ะ โป๊กเกอร์ เจำนวน 4 โต๊ะ โต๊ะเล่นไพ่นกกระจอก 5 โต๊ะ ถ้าครบทุกโต๊ะ ผู้เล่นจะประมาณ 40-50 คน ยังมีตู้ปลาอีก 2 ตัว ถ้ายืนรอบตู้ปลา ก็รวมผู้เล่นประมาณ 100 คน ของกลางเป็นชิป เบื้องต้น ตรวจสอบเปิดเล่นมาประมาณ 1 สัปดาห์ เงินหมุนเวียนอยู่ที่ 5 ล้านบาท

ตอนนี้กำลังตรวจสอบเส้นทางการเงิน ถึงเจ้าของที่แท้จริงของสถานที่แห่งนี้ หลังจากดำเนินคดีนี้ แล้วจะเพิกถอน และทำแบล๊กลิสต์ไม่สามารถเข้ามาในเมืองไทยได้แล้ว ถ้ามีพยานหลักฐานถึงใครดำเนินคดีเสนอ ตม. ดำเนินการเพิกถอน

ขณะนี้ผู้ที่รับเป็นเจ้าของบ้านเป็นคนไทย ส่วนเจ้าของบ้านต้องไปดูในเรื่องสัญญาเช่าอีกทีหนึ่ง ว่าเป็นอย่างไรรู้เห็นหรือไม่ ซึ่งการลักลอบเล่นการพนัน มีโทษจำของศาลแขวง เราถือว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงและศีลธรรมอันดีของประเทศ เบื้องต้นยังไม่มีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง ตอนนี้ผู้ต้องหาอยู่ที่ สภ.เมืองภูเก็ต ยังไม่ได้ประกันตัว เจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ดำเนินการสืบสวนขยายผลเกี่ยวกับกลุ่มคนไทยที่คอยช่วยเหลือ สนับสนุนในการลักลอบกระทำความผิดและกลุ่มทุนชาวจีน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด

ขอฝากประชาสัมพันธ์ในเรื่องเบาะแสการลักลอบเล่นการพนัน ถ้าท่านใดมีเบาะแส สามารถแจ้งได้ที่ ตัวผมเองหรือที่ ทุก สภ.ในจังหวัดภูเก็ต หรือถ้าคิดว่าไม่เป็นความลับแจ้งโดยตรงได้ที่ตัวผม หรือผู้กำกับแต่ละ สภ.ได้ หลังจากที่ดำเนินคดีจะทำหนังสือไปยัง ตม.เพื่อขอเพิกถอนวีซ่าและเป็น Blacklist ในการเข้าประเทศครั้งต่อไป ทั้ง 13 คน ซึ่งกรณีจับกุมชาวต่างประเทศเล่นการพนันในจังหวัดภูเก็ต เมื่อหลายเดือนที่แล้วจับกุมชาวรัสเซียเล่นการพนันโป๊กเกอร์เหมือนกัน โดยหลักเราจะขอเพิกถอนวีซ่าทั้งหมด อยู่ที่ทาง ตม.พิจารณา เป็นอำนาจของผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งมอบอำนาจให้ ตม.แต่ละพื้นที่ดำเนินการ”