ทำแผน จัดฉากฆ่าชาย 32 หวังเงินประกัน 14 ล้าน อึ้ง! ผู้ต้องหา ซัดทอด ตร.ยศใหญ่มีเอี่ยว
วันที่ 11 มีนาคม 2568 เวลา 12.30 น. พล.ต.ต.สมจิตร เหล่ามงคลนิมิต มอบหมายให้ พ.ต.อ.จิรโรจน์ โรจน์ภานุพัชร์ รอง ผบก.ภ.จว.สกลนคร พร้อมด้วย พ.ต.อ.วรวิทย์ นนพละ ผกก.กก.สส.ภ.จว.สกลนคร พนักงานสอบสวน สภ.วานรนิวาส และ จนท.ชุดสืบสวน ภ.จว.สกลนคร เข้าร่วมประชุมวางแนวทางการสืบสวนคลี่คลายคดีขบวนการจัดฉากฆาตกรรมอำพลาง นายวิเชียร อายุ 32 ปี ชาวบ้านสุวรรณคีรี อ.วานรนิวาส ให้ประสบอุบัติเหตุ เพื่อหวังเอาเงิน พ.ร.บ.กรมธรรม์ รถยนต์ จำนวนกว่า 14 ล้านบาท โดยศาลจังหวัดสว่างแดนดินได้มีการอนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหาไปแล้ว จำนวน 4 ราย คือ นายสกล หรือ เมฆ อายุ 38 ปี นายสมศักดิ์ หรือ แอ๊ะ อายุ 56 ปี นายพีรพัฒน์ หรือ ป้อม อายุ 30 ปี นายพรชนก หรือ เก่ง อายุ 41 ปี ในข้อกล่าวหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาต้องได้แล้ว 3 ราย และนำตัวฝากขังที่เรือนจำสว่างแดนดินแล้ว ส่วนรายที่ 4 ที่หลบหนีทนแรงกดดันไม่ไหวเข้ามอบตัวต่อ จนท.ตำรวจ ในเวลาต่อมา
อ่านข่าว – ฝากขัง 3 ผู้ต้องหาจัดฉากฆ่าหนุ่มเอากรมธรรม์ ล่าสุดจับกุมผู้ต้องหารายที่ 4 ได้แล้ว
จากนั้นช่วงบ่าย พ.ต.อ.วรวิทย์ นนพละ ผกก.กก.สส.ภ.จว.สกลนคร พร้อมชุดคลี่คลายคดี ได้มีการพา นายพรชนก อายุ 41 ปี หนึ่งในผู้ต้องหาร่วมขบวนการเดินทางไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพตามจุดต่างๆ อย่างละเอียด
ในวันเกิดเหตุวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 จุดแรก คือ เมื่อเวลา 12.00 น. ที่โรงน้ำดื่มของ นายพรชนก ตั้งอยู่ใน ม.10 ต.เจริญศิลป์ อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร มีนายสกล นายพรชนก และ นายวิเชียร ซึ่งเป็นผู้เสียชีวิต นั่งรถยนต์กระบะอีซูซุ สี่ประตู สีขาว ขับออกไปยังร้านตัดผมแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลกันจากโรงน้ำดื่ม นายสกลได้พานายวิเชียรเข้าไปตัดผมในร้านตัดผม และสั่งช่างตัดผมว่าเอาทรงนักเรียนจะพาไปบำบัด ส่วนนายพรชนกและนายสกลนั่งรออยู่ด้านนอกประมาณ 30 นาที พอตัดผมเสร็จนายสกลจึงขับรถพานายวิเชียรและนายพรชนกไปร้านสะดวกซื้อ นายสกลลงไปซื้อเสื้อผ้า โดยนายวิเชียรนั่งรออยู่บนรถ ส่วนนายพรชนกรออยู่ด้านหน้าร้านสะดวกซื้อ จากนั้นทั้งหมดก็กลับมาที่โรงน้ำดื่ม ซึ่งนายสกลเปลี่ยนเป็นชุดสีดำเพื่อแต่งตัวให้คล้ายกับนายวิเชียร ซึ่งนายวิเชียรก็เปลี่ยนชุดสีดำเช่นกัน
ต่อมาเวลา 16.00 น. นายสกล นายพรชนก และนายวิเชียร พากันไปนั่งรับประทานอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นร้านปลาจุ่ม ระหว่างนั้นก็สนทนาตามปกติทั่วไป นายพรชนก เห็นนายวิเชียร มีอาการเซื่องซึมเชื่องช้า ซึ่งขณะนั้นนายวิเชียรดื่มเหล้าและรับประทานอาหารอยู่ สักพักเวลาประมาณ 6 โมงเย็น เสียงโทรศัพท์ของนายกสกล ดังขึ้นโดยเสียงปลายสาย คือ นายพีรพัฒน์ อ้างว่ารถเสียให้มาดูหน่อย จากนั้นนายสกลก็สั่งเก็บเงิน โดยนายพรชนก ยังสังเกตเห็นอีกว่า นายวิเชียรมีอาการมึนเมา และขอไปนั่งเบาะหลังของรถกระบะ อีซูซุ สี่ประตู สีขาวที่ขับกันมา นายสกลให้นายพรชนกไปขับ และอ้างว่าขอไปนั่งท้ายกระบะเพราะอยากดูดบุหรี่ เมื่อรถขับสี่แยกหนึ่งที่มีกล้องวงจรปิดไป นายสกลที่อยู่ท้ายกระบะเคาะกระจกเรียกให้นายพรชนก จอดและสลับกันขับอ้างว่าหนาวจะขอขับเองเพราะนายพรชนกขับช้า
เวลาพลบค่ำ เมื่อขับมาถึงจุดรวมพลจุดที่หนึ่ง เห็นรถยนต์กระบะคอกขนน้ำดื่มสีขาว 2 คัน จอดรออยู่ริมถนนอยู่ แล้ว นายสกลกับนายพรชนกเดินลงจากรถลงไปข้างทางปล่อยให้นายวิเชียรอยู่บนรถกระบะ สี่ประตู สีขาว คนเดียวที่จอดริมทางเช่นกัน พอลงมาถึงพบว่ามี นายพีรพัฒน์ นายพรชนก ยืนรออยู่แล้ว พร้อมกับสังเกตเห็นรถยนต์กระบะตำรวจ และเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบหนึ่งนายยืนอยู่ข้างรถโดยไม่พูดจาอะไรคล้ายมาสังเกตการณ์
รวมไปถึงสังเกตเห็นว่ามีผู้หญิงที่เรียกติดปากกันว่าคุ ณนายนั่งมาในรถกระบะด้านซ้ายด้วย ระหว่างรวมตัวกันนายสกล ก็แบ่งหน้าที่ว่าใครทำอะไรอย่างไรบ้าง พร้อมกับบอกว่าจะจัดการนายวิเชียร โดยญาตินายวิเชียรเขาไม่ว่าอะไร ในตอนนี้เอง ด้านนายสกล ก็หันมาถามนายพรชนก ว่า เอาด้วยไหม แต่เหมือนตกกระไดพลอยโจนไปแล้ว และเห็นมีแต่พวกของนายสกลจึงหวาดกลัว น
ายสกลจึงให้นายพรชนกไปขับรถกระบะ สี่ประตู สีขาว ไปกับนายสมศักดิ์ ส่วนนายวิเชียรนั่งเบาะหลัง ขณะเดียวกันนายสกลคนจัดแจงได้ขับรถกระบะคอกเปล่าออกไปจากจุดรวมพล แล้วนายพรชนก นายสมศักดิ์ พร้อมด้วยนายวิเชียร ก็ขับรถออกไปประมาณ 500 เมตร ซึ่งเป็นจุดนัดหมายจุดที่สอง เป็นบริเวณหลัก กม.15 ทั้งสามคนประกอบด้วย นายสมศักดิ์ นายพรชนก นายวิเชียร ก็พากันเดินลงมาปัสสาวะ ขณะที่นายวิเชียรนั่งมึนงงอยู่หน้ารถกระบะ ทันใดนั้น นายสมศักดิ์ก็ลากนายวิเชียรลงไปนอนคว่ำหน้าลงขวางถนน ทิ้งนายวิเชียรไว้คนเดียว จากนั้น นายสมศักดิ์และนายพรชนก ขับรถออกไป เจอกันที่จุดนัดพบจุดที่สามห่างจากจุดทิ้งนายวิเชียรไปประมาณ 500 เมตร
ทั้งนี้ไปสอดคล้องกับคำให้การของนายพีรพัฒน์ ที่ให้การก่อนหน้านี้ว่า (ให้การสารภาพและถูกฝากขังแล้ว) เมื่อได้รับสัญญาณแล้ว จึงให้ขับรถกระบะมีคอกน้ำ ขับมาเหยียบชนนายวิเชียรได้เลย จากนั้นนายพีรพัฒน์อ้าง ว่าได้หลับตากลั้นใจขับไปชน แต่ไม่รู้ชนโดนนายวิเชียรหรือไม่ พอนายพีรศักดิ์มาเจอกันตรงจุดที่สามก็บอกทุกคนว่าได้ขับรถชนนายวิเชียร แต่นายสกลกับนายสมศักดิ์เหมือนไม่มั่นใจอะไรซักอย่างได้ขับรถยนต์กระบะ อีซูซุ สี่ประตู สีขาวคันแรกที่พานายวิเชียรไปทิ้ง ขับวนกลับไปดูจุดเกิดเหตุ หลัก กม.15 อีกครั้ง
ตอนนี้นายพรชนกไม่ทราบว่านาย นายสกลและนายสมศักดิ์กลับไปทำอะไร เหลือแต่นายพีรพัฒน์กับนายพรชนก ใช้อุปกรณ์เหล็กเชื่อมติดกันระหว่างรถกระบะคอกเปล่า กับรถกระขนน้ำ จากนั้นยังยืนรออยู่จุดนัดพบที่สาม ประมาณ 1 ชม. ต่อมามีเพียงนายสมศักดิ์กลับมาคนเดียวพร้อมรถกระบะ อีซูซุ สี่ประตู สีขาว แต่ไม่ทราบว่านายสกลที่ไปด้วยกับนายสมศักดิ์หายไปไหนจากนั้นทุกคนก็แยกนำรถไปเก็บที่โรงน้ำดื่มของนายพรชนก
ทั้งนี้นายพรชนก ให้การตลอดการทำแผนประกอบคำรับสารภาพว่า ขณะไปรวมตัวกันจุดแรกรวมพลเคยเห็นหน้านายตำรวจในเครื่องแบบนายนี้ที่งานศพญาติของนายสกล ยืนยันตำรวจนายนี้อยู่จุดแรกรวมพลก่อนเกิดการจัดฉากนายวิเชียรจนเสียชีวิตจากการเกิดอุบัติเหตุตกรถ พร้อมกับฝากไปถึงครอบครัวของนายวิเชียรผู้เสียชีวิตว่า ตนไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนี้อยู่แล้ว ตนได้ขอโทษไปยังครอบครัวแล้ว
อย่างไรก็ตาม การทำแผนประกอบคำรับสารภาพได้มีการหักล้างกับสำนวนเดิมของพนักงานสอบสวนที่ทำคดีไว้ก่อนหน้านี้ว่า นายวิเชียรเสียชีวิตจากการตกท้ายกระบะแล้วมีรถชักลากจูงมาเหยียบทับซ้ำ เนื่องจากผู้ต้องหา จำนวน 2 ราย พร้อมทั้งพยานและหลักฐานที่ชุดคลี่คลายคดีมีอยู่ ไม่สอดคล้องกันกับคดีเดิมและสามารถหักล้างกันได้ ซึ่งเชื่อว่าจะสาวไปถึงผู้ร่วมขบวนการที่เป็น นายตำรวจ ยศระดับพันตำรวจโทได้ตามที่นายพรชนก ให้การซัดทอด