เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 3 กรกฎาคม พล.ต.ท.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ผบช.ภ.5 แถลงข่าวผลการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวม 4 คน ประกอบด้วยนายชิษณุพงษ์ หรือเดี่ยว ทองทวี อายุ 35 ปี บ้านเลขที่ 96/2 หมู่ 3 ต.มะเร็ต อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี นายสุริยะ หรือบ่าว นิระโส อายุ 38 ปี บ้านเลขที่ 27/1 หมู่ 9 ต.ควนขนุน อ.ควนขนุน จ.พัทลุง นายศตวรรษ หรือวุฒิ สันติปาตี อายุ 47 ปี บ้านเลขที่ 313 ซอยจรัญสนิทวงศ์ 75 แขวงบางพลัด เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร และนายอนุรักษ์ หรือแอน เทพประเมิน อายุ 32 ปี บ้านเลขที่ 162/5 หมู่ 2 ต.บ่อพลอย อ.บ่อไร่ จ.ตราด ดำเนินคดีในข้อหากระทำความผิดฐาน “สมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปเป็นซ่องโจรเพื่อร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่นฯ” โดยมีผู้ต้องหาอีก 1 คน คือ นายสงกรานต์ หรือเกียรติ เบ้าทุมมา หลบหนีไปได้
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ได้ที่บ้านเลขที่ 286/75 หมู่ 6 ต.สันผักหวาน อ.หางดง จ.เชียงใหม่ เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 30 มิถุนายน โดยสามารถยึดของกลางโทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อซัมซุง ฮีโร่ สีดำ จำนวน 3 เครื่อง รายชื่อและหมายเลขบัญชีธนาคารของผู้เสียหาย ซิมการ์ดโทรศัพท์มือถืออีกหลายรายการ พร้อมของกลางอื่นๆ อีกจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนภาค 5 ได้รับการประสานข้อมูลจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ว่ามีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของผู้ต้องหามีพฤติการณ์โทรศัพท์หลอกให้เหยื่อโอนเงิน โดยเข้ามาก่อเหตุอยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ จากการตรวจสอบพบว่ามีการมาเช่าบ้านเลขที่ 286/75 หมู่ 6 ต.สันผักหวาน อ.หางดง จ.เชียงใหม่ จึงติดตามความเคลื่อนไหวจึงรวบรวมพยานหลักฐานขอหมายค้นและเข้าตรวจค้นขณะที่ผู้ต้องหากำลังใช้โทรศัพท์มือถือของกลางโทรศัพท์ไปหลอกเหยื่อที่หลงเชื่อ
พล.ต.ท.พูลทรัพย์กล่าวว่า คดีนี้มีการแอบอ้างชื่อ ผบช.ภ.5 หลอกให้โอนเงิน โดยผู้ต้องหาจะสุ่มหาชื่อเหยื่อบนอินเตอร์เน็ต ก่อนที่โทรไปหลอกลวงแจ้งว่ามีบัญชีผู้เสียหายมีปัญหาเกี่ยวข้องกับยาเสพติด อ้างตัวเป็นตำรวจและอ้างชื่อนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ของภาค 5 ต้องการช่วยโดยให้กดเงินโอนให้ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเบอร์ที่โทรไปและแสดงที่หน้าจอโทรศัพท์ของเหยื่อเป็นเบอร์โทรศัพท์ของ บช.ภ.5 ซึ่งผู้ต้องหาใช้แอพพลิเคชั่นบางตัวทำให้โทรไปยังเบอร์เหยื่อ ดังนั้น จึงขอเตือนประชาชนทั่วไปว่าถ้าไม่ได้กระทำผิดใด หากมีการโทรศัพท์มาในลักษณะนี้ให้ดำเนินการตัดสายทิ้ง ไม่ต้องไปพูดคุยหรือหลงเชื่อ กรณีที่เหตุเกิดในพื้นที่ อ.หางดง และที่ผ่านมาพบว่ามีการกระทำลักษณะเดียวกันที่ บชภ.6 มีผู้เสียหาย 100 กว่าราย
“จากการสอบถามผู้ต้องหาทั้ง 4 รับสารภาพว่า ทั้งกลุ่มมีด้วยกัน 5 คน จะโทรศัพท์ไปหลอกลวงเหยื่อให้โอนเงินมาให้ โดยแบ่งหน้าที่กันเป็นกระบวนการคือ หาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต จากนั้นจะโทรศัพท์โทรไปยังหมายเลขดังกล่าวโดยอ้างว่าตนเองเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบ แจ้งเหยื่อว่าบัญชีธนาคารของเหยื่อน่าจะถูกปลอมแปลงทำบัญชีซ้อนขึ้นมา จะต้องไปตรวจสอบที่ตู้เอทีเอ็ม และจะมีวิธีการพูดให้เชื่อโดยโทรศัพท์สายที่สองซึ่งรับบทบาทเป็นผู้กองชักจูงให้เหยื่อไปตรวจสอบบัญชีที่ตู้เอทีเอ็ม ข่มขู่ให้กลัว ก่อนที่จะมีโทรศัพท์สายที่สามรับบทเป็นสารวัตร ให้การช่วยเหลือตรวจสอบบัตรเอทีเอ็มด้วยการให้กดรหัสตาม ซึ่งข้อเท็จจริงเป็นวิธีการหลอกให้โอนเงินไปที่บัญชีที่จัดเตรียมไว้ เมื่อโอนเงินสำเร็จผู้ต้องหาจะแจ้งให้สมาชิกที่มีหน้าที่กดเงินออกจากบัญชีไป ซึ่งจากการขยายผลจากการตรวจโทรศัพท์ของกลางพบเหยื่อคือ นายอเนก กลิ่นฟุ้ง ถูกกลุ่มดังกล่าวหลอกให้โอนเงินมูลค่าความเสียหายประมาณ 29,000 บาท”
ผบช.ภ.5 กล่าวอีกว่า ฝากประชาสัมพันธ์ถึงพี่น้องประชาชนให้ป้องกันตนเองเพื่อจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือมิจฉาชีพ หากได้รับโทรศัพท์จากบุคคลที่ไม่รู้จัก ควรทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่า มีโอกาสเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ไม่โลภอยากได้เงินรางวัลที่ไม่มีที่มา ไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลทางการเงินแก่บุคคลอื่น ถึงแม้ผู้ติดต่อจะอ้างตัวเป็นส่วนราชการ หรือสถาบันการเงิน เพราะส่วนราชการ และสถาบันการเงินไม่มีนโยบายสอบถามข้อมูลส่วนตัวลูกค้าผ่านโทรศัพท์ ไม่ทำรายการที่ตู้เอทีเอ็ม หรือเครื่องฝากเงินอัตโนมัติตามคำบอกของผู้ที่ติดต่อ ควรสอบถามข้อเท็จจริงกับสถาบันการเงินที่ถูกอ้างถึงหรือใช้บริการ โดยติดต่อฝ่ายบริการลูกค้า (Call Center) หากได้รับแจ้งว่า มีผู้โอนเงินผิดเข้าบัญชี ควรสอบถามสถาบันการเงินถึงที่มาของเงินดังกล่าว หากเป็นเงินที่มีการโอนผิดเข้ามาจริงต้องให้สถาบันการเงินเป็นผู้ดำเนินการโอนเงินเท่านั้น และเมื่อตกเป็นเหยื่อ ควรรวบรวมหลักฐานและข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและทำการอายัดบัญชีของคนร้ายโดยทันทีที่ผู้เสียหายรู้ตัว
