เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่รัฐบาลไทยมีมาตรการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวและนายจ้างที่กระทำผิดกฎหมาย โดยมีโทษจับปรับนายจ้างสูงนั้น จังหวัดสระแก้ว เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีอาณาเขตติดกับประเทศกัมพูชา และเขตแดนไม่มีสิ่งกีดขวางตามธรรมชาติ สามารถข้ามไปมาได้โดยง่าย โดยคาดว่า แรงงานชาวกัมพูชา ที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย จะใช้เส้นทางด้านจังหวัดสระแก้วมากที่สุด
นายสวนิต สุริยกุล ณ อยุธยา นายอำเภออรัญประเทศ จ.สระแก้ว ได้รับรายงาน พ.ต.อ.เบญจพล รอดสวาสดิ์ ผกก.ตม.จว.สระแก้ว และร.อ.อภินันท์ สงครามชัย ผบ.ร้อย ทพ.1201(ผู้บังคับกองร้อยทหารพรานที่ 1201) ว่า ได้รับแจ้งจาก เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองปอยเปต อ.โอโจรว จ.บันเตียเมียนเจย และ เจ้าหน้าที่สารวัตรทหารกัมพูชา ประจำจังหวัดบันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา ว่าทางรัฐบาลกัมพูชา โดยนายซอ เค็ง รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกัมพูชา ได้แถลงการณ์เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2560 ที่กรุงพนมเปญ เมืองหลวงกัมพูชา ว่าทางรัฐบาลกัมพูชาได้สั่งปิดช่องทางอนุโลมจุดผ่านแดนชั่วคราว ตามแนวชายแดน จ.บันเตียเมียนเจย จำนวน 43 จุด ตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา ดำเนินการอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ในคำสั่งอ้างว่าเพื่อป้องกันแรงงานชาวกัมพูชาที่ไม่มีเอกสารเดินทาง ลักลอบเดินทางเข้าไปทำงานในประเทศไทย เป็นการป้องกันชาวกัมพูชาไม่ให้ถูกเจ้าหน้าที่ไทยจับกุมและต้องถูกลงโทษตาม พ.ร.ก.แรงงานฉบับใหม่ของไทย เพื่อป้องกันไม่ให้มีการลักลอบขนสินค้าเถื่อนและสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ลักลอบข้ามเขตแดนออกไปประเทศไทย และเพื่อเป็นการเร่งรัดให้แรงงานชาวกัมพูชาไปทำพาสปอร์ตเพื่อเดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างถูกกฎหมายซึ่งจากคำสั่งดังกล่าวของรัฐบาลกัมพูชา
ส่วน พ.ต.อ.เบญจพล รอดสวาสดิ์ ผกก.ตม.จว.สระแก้ว กล่าวว่า ได้ส่งเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนปราบปราม ตม.จว.สระแก้ว ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ทหารพราน ฉก.กรม.ทพ.12 ร่วมกันไปตรวจสอบตามจุดอนุโลมแรงงาน ตามแนวชายแดนด้านตรงข้าม จ.บันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา ในพื้นที่ 3 อำเภอ คือ อำเภออรัญประเทศ อำเภอโคกสูง และอำเภอตาพระยา รวม 43 จุด พบว่ามีการปิดช่องทางอนุโลมแรงงานแบบเช้ามา-เย็นกลับ ของกัมพูชาจริง ทำให้บรรยากาศบริเวณช่องทางอนุโลมแรงงาน เงียบเหงามาก ไม่มีแรงงานชาวกัมพูชา เดินทางเข้ามารับจ้างทำงานภาคเกษตร แบบเช้ามา-เย็นกลับ โดยเฉพาะบริเวณจุดตรวจ อ.02 ซึ่งเป็นจุดอนุโลมแรงงาน ไปเช้า-เย็นกลับ จุดที่ 51 บ้านป่าไร่ใหม่ ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
ต่อมา เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2560 มี เจ้าหน้าที่ทหารพราน จากกองร้อยทหารพรานที่ 1205 นำรั้วลวดหนามมาปิดกั้นบริเวณช่องทางอนุโลม ไม่อนุญาตให้มีการผ่านเข้า-ออก อย่างเด็ดขาด ในขณะที่มีกลุ่มเกษตรกรชาวไทยจำนวนมาก ได้นำรถกระบะมาจอดอยู่บริเวณหน้าจุดอนุโลมแรงงาน เพื่อรอรับแรงงานกัมพูชาไปรับจ้างทำงานในสวน ไร่ นา แบบมาเช้า-เย็นกลับ แต่ต้องผิดหวัง เมื่อเจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าทางการกัมพูชาได้สั่งปิดช่องทางอนุโลมแรงงานกัมพูชาแล้ว และต่อจากนี้ไปจะไม่มีแรงงานกัมพูชาเข้ามาทำงานรับจ้างแบบเช้ามา-เย็นกลับอีก จนกว่ารัฐบาลกัมพูชาจะประกาศเปลี่ยนแปลง
ด้าน นายประมวล เขียวขำ เลขาธิการหอการค้าจังหวัดสระแก้ว กล่าวว่า เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังและพืชผลผลิตต่างๆ ตามแนวชายแดนทั้ง 4 อำเภอที่เคยมีมารับแรงงานเขมรแบบเช้ามา-เย็นกลับ ไปทำงานรับจ้างดายหญ้า ใส่ปุ๋ย พรวนดิน และปลูกมันสำปะหลัง ที่ไร่ทุกวัน โดยใช้แรงงานเขมร รายละ 9-10 คน ค่าแรงคนละ 230 บาทต่อวัน ถ้ารัฐบาลกัมพูชาสั่งปิดจุดอนุโลมแรงงานเขมร ยอมรับว่าต่อไปนี้เกษตรกรไทยบริเวณชายแดนเดือดร้อนแน่เพราะไม่มีแรงงานเขมรมาทำงาน ซึ่งรัฐบาลไทยได้ ม.44 ขยายเวลาออกไปถึง 6 เดือน เพื่อให้แรงงานเขมรไปปรับตัวเพื่อทำเอกสารให้ต้องตามกฎหมาย
จากการสอบถาม สำนักข่าวในประเทศกัมพูชา เกี่ยวกับข้อมูลการปิดช่องทางอนุโลม มาเช้า – เย็นกลับ ข้อจริงเท็จเป็นอย่างไร ได้รับคำตอบว่า รัฐบาลกัมพูชา มีคำสั่งปิดเฉพาะชายแดน จ.บันเตียเมียนเจย ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ 3 อำเภอของจังหวัดสระแก้ว คือ อ.อรัญประเทศ อ.โคกสูง และ อ.ตาพระยา เท่านั้น ส่วนทางด้านชายแดนติดกับ จ.จันทบุรี จ.ตราด จ.บุรีรัมย์ และจ.ศรีสะเกษ ไม่ได้มีการสั่งปิดช่องอนุโลมแรงงาน แต่อย่างใด ทำให้ชาวบ้านในเขต 3 อำเภอของจังหวัดสระแก้ว มีชาวบ้านได้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่า อาจเป็นการตอบโต้ของรัฐบาลกัมพูชา ที่รัฐบาลไทยออก พ.ร.ก.แรงงานต่างด้าวฉบับใหม่หรือไม่ ได้รับคำยืนยันว่ามีการสั่งปิดช่องทางอนุโลมจริงแต่ไม่ทราบสาเหตุเพียงได้รับแจ้งว่าเพื่อป้องกัน แรงงานกัมพูชา ไปถูกจับในประเทศไทยเท่านั้น
