วันที่ 12 ตุลาคม 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าจากกรณีหน่วยกู้ภัยสัจจะพุทธธรรมแห่งประเทศไทย (อ.กบินทร์บุรี) นำ ด.ช.วัย 9 ขวบ นักเรียนระดับชั้น ป.3 โรงเรียนแห่งหนึ่ง ที่ถูกพ่อเลี้ยง-แม่ทำร้ายจนหนีออกจากบ้านอดอาหาร-น้ำ 3 วัน นำส่งโรงพยาบาลกบินทร์บุรี และเด็กชายดังกล่าวต้องผ่าตัดเนื่องมาจากมีอาการปวดช่องท้อง แพทย์วินิจฉัยว่าน่าจะเกิดจากกระเพาะอักเสบหรือไส้ติ่งอักเสบ หรืออย่างอื่น ต้องตรวจสอบจากเชื้อที่พบในตัวเด็กเพื่อยืนยันให้แน่ชัดอีกครั้งหนึ่ง ตามที่เสนอรายละเอียดไปก่อนหน้านี้นั้น
โดยวันที่ 12 ตุลาคม ผู้สื่อข่าวได้ไปเยี่ยมน้องเก่ง (นามสมมุติ) อีกครั้งหลังจากผ่านการผ่าตัดแล้ว ยังไม่มีพ่อ-แม่มาเฝ้าไข้แต่อย่างใด ซึ่งพยาบาลบอกว่าน้องอยู่ในการดูแลของพยาบาล ไม่มีพ่อ-แม่ของน้องมาเฝ้าไข้แต่อย่างใด ต้องงดให้น้ำ-อาหารหลังผ่านการผ่าตัดใหม่ๆ
ต่อมามีเจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลกบินทร์บุรีมาเยี่ยมน้องเก่งและได้สอบถามด้วยความเป็นห่วง น้องเก่งบอกว่า ตอนนี้รู้สึกสับสนเหมือนกัน แต่ไม่อยากกลับบ้าน เจ้าหน้าที่ได้พูดให้กำลังใจน้องเก่งอยู่นาน น้องมีอาการดีขึ้น ไม่กังวลและสับสน เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่ต้องกลัวอะไร ทุกคนจะช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่
ล่าสุดนางลลิตา แม่-สามีใหม่ กับพี่ชายของน้องเก่งได้เดินทางมาเยี่ยมและพูดจาคล้ายกับไม่พอใจลูก โดยกล่าวหาว่าลูกไม่พูดความจริง ทำให้แม่เสียหาย คนในบ้านวุ่นวายกันไปหมดแล้ว มันเกิดอะไรขึ้น สังคมได้ตราหน้าพ่อ-แม่เป็นคนไม่ดีไปแล้ว มันเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นคนแนะนำ ต่อไปใครจะรับผิดชอบถ้าเกิดปัญหาในครอบครัว
น้องกล้าซึ่งเป็นพี่ชายน้องเก่งได้มาเยี่ยมน้องโดยไม่กล้ามองหน้าน้องชาย ได้แต่นั่งเกาะราวเตียงคนไข้ ถามน้องชายว่าจะเอายังไงบอกมา จะอยู่หรือจะไป ถ้าไปจะไปอยู่ที่ไหน จะได้พบกันอีกหรือไม่ จากการพูดคุยของสองพี่น้องแทบจะไม่มีเสียงให้ได้ยิน น้องเก่งกับน้องกล้ามีอาการน้ำตาซึมด้วยกันทั้งคู่
ผู้สื่อข่าวได้สังเกตสีหน้าท่าทางของแม่น้องเก่ง ก็เห็นสีหน้าท่าทางไม่พอใจลูกชาย น้ำเสียงออกจะดุดันไม่ห่วงใย อยากไปอยู่ที่ไหนก็ไป ไม่บังคับไม่ว่า
ด้านเจ้าหน้าที่เทศบาลฯบอกว่า ถ้าเด็กอยู่ที่นี่ ก็จะมีปัญหาไม่จบ จะหนีออกจากบ้านอีก ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกคนรู้อยู่แก่ใจ แต่พูดไม่ได้ มันมีผลกระทบหลายด้าน
