วันที่ 31 มีนาคม ผู้สื่อข่าวรายงานจาก อ.พญาเม็งราย จ.เชียงราย ซึ่งเป็นสถานที่ที่กลุ่มทุนจีนโดยบริษัท หงต๋า อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้เข้าไปประกอบกิจการปลูกกล้วยหอมเป็นสวนกว้างขวางติดถนนสายพญาเม็งราย-เทิง ทางไปบ้านหนองบัวคำ ต.เม็งราย อ.พญาเม็งราย และถูกชาวบ้านร้องเรียนเรื่องการสูบน้ำจากแม่น้ำอิงไปใช้ในสวนจนทางอำเภอต้องเรียกประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาให้หยุดสูบน้ำแล้วนั้น ล่าสุดพบว่าเอกชนรายนี้ได้หยุดสูบน้ำจากแม่น้ำอิงและหันไปขุดบ่อบาดาลภายในแล้ว ขณะที่กระแสการต่อต้านจากชาวบ้านก็ลดลงเนื่องจากไม่มีการสูบน้ำดังกล่าวและแม่น้ำอิงก็เหือดแห้งลงอย่างมากในช่วงนี้ด้วย อย่างไรก็ตาม ล่าสุดนายภูเบศร์ จูละยานนท์ นายอำเภอพญาเม็งราย พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ประสานกับทางบริษัทเพื่อจะขอเข้าไปดูกิจการและตรวจสอบเรื่องสารเคมีเพื่อให้ชาวบ้านได้หายกังวลในวันที่ 1 เม.ย.นี้ต่อไป
ส่วนภายในสวนกล้วยดังกล่าว พบว่ามีทั้งสวนที่ต้นโตเต็มที่แล้วเขียวขจีเพราะได้รับการดูแลอย่างดี และพื้นที่โล่งที่เตรียมสำหรับปลูกกล้วยรุ่นใหม่โดยมีคนงานเดินทางเข้าออกเพื่อดูแลสวนกล้วยอย่างต่อเนื่อง โดยมีผลผลิตบางส่วนถูกขนส่งออกมาจำหน่ายยังประเทศจีนทั้งหมดผ่านทางถนนอาร์สามเอ อ.เชียงของ-สปป.ลาว-มณฑลยูนนาน ส่วนพื้นที่รอบนอกเป็นพื้นที่ทางการเกษตรกว้างขวางเช่นกันแต่ชาวบ้านทั่วไปปลูกมันสำปะหลังเพราะเป็นพื้นที่สูงไม่สามารถทำนาปลูกข้าวในฤดูแล้งได้
ด้านชาวบ้านที่อยู่รอบนอกระบุว่า ก่อนหน้านี้เอกชนสูบน้ำจากแม่น้ำอิงอย่างหนักจนมีเสียงดังชัดเจน ทำให้ชาวบ้านที่ต้องใช้น้ำเพื่อการเกษตรทั้งในบริเวณใกล้เคียงและใต้น้ำกังวลใจจนเป็นที่มาของการร้องเรียนต่อทางอำเภอดังกล่าว แต่เมื่อเอกชนหยุดสูบน้ำแล้วชาวบ้านก็เลิกกังวล และต่างฝ่ายต่างก็ทำมาหากินกันไปตามหน้าที่โดยชาวบ้านส่วนหนึ่งเองก็เข้าไปรับจ้างทำงานภายในสวนกล้วยวันละประมาณ 300 บาท ส่วนชาวบ้านรอบนอกส่วนใหญ่เช่าที่ดินเพื่อปลูกมันสำปะหลังไร่เช่นเดียวกับเอกชนจีนที่เช่าที่ดินเป็นเวลา 9-10 ปีเพื่อปลูกกล้วยหอมเช่นเดียวกัน

นายภูเบศร์เปิดเผยว่า จากการหารือเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำที่ผ่านมาได้ทำให้ทราบว่าสวนกล้วยหอมของเอกชนรายนี้มีประมาณ 2,750 ไร่ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับที่เอกชนจีนไปปลูกในแขวงต่างๆ ของ สปป.ลาว ใกล้ จ.เชียงราย ร่วม 20,000 ไร่แล้วถือว่าน้อยกว่ามาก แต่เมื่อชาวบ้านมีความกังวลทางอำเภอในฐานะฝ่ายปกครองก็ต้องเข้าไปดูแลแก้ไขปัญหาให้แต่ก็ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพื่อให้การลงทุนของภาคเอกชนโดยเฉพาะจากต่างประเทศสามารถคงอยู่ได้และได้รับประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย ทั้งนี้หลังจากได้แก้ไขปัญหาเรื่องน้ำไปได้แล้วอย่างถาวรเพราะเอกชนหันไปขุดบ่อบาดาลเองแล้ว ทางอำเภอก็ได้ประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบเรื่องการใช้สารเคมีให้คลายความกังวลของชาวบ้านและเพื่อผลดีต่อเอกชนจีนในการรับประกันคุณภาพกล้วยหอม ซึ่งจะเป็นผลดีต่อทั้งเอกชนรวมทั้งสามารถต่อยอดไปถึงความร่วมมือระหว่างกลุ่มทุนจีนกับชาวบ้านท้องถิ่นอีกด้วย
“ได้ให้ทางโรงพยาบาลในพื้นที่ตรวจสุขภาพของชาวบ้านที่ทำงานในสวนและอยู่โดยรอบจำนวน 170 คน เพื่อดูสุขภาพตั้งแต่ก่อนจะมีสวนกล้วยจนถึงปัจจุบันว่ามีสารพิษตกค้างหรือไม่ มีอาการเจ็บป่วยด้วยโรคต้องสงสัยว่าจะเกิดจากสารเคมีหรือไม่อย่างไร และวันศุกร์ที่ 1 เม.ย.นี้ นายอำเภอก็จะได้ไปดูที่สวนด้วยตัวเองโดยมีนักวิชาการที่เกี่ยวข้องไปด้วยเพื่อขอดูกิจการและสภาพแวดล้อม เช่น ดิน น้ำ ตัวอย่างกล้วยซึ่งทราบว่าโตแล้วประมาณ 500 ไร่โดยเริ่มขนออกมาส่งจีนแล้ว ส่วนที่อนุบาลก็มีอยู่อีกประมาณ 500 ไร่ ส่วนพื้นที่อื่นๆ คงจะขยายต่อไป ฯลฯ ซึ่งหวังว่าเอกชนจะให้ความร่วมมือด้วยดีเพราะเป็นผลดีต่อการต่อยอดในอนาคตด้วย” นายภูเบศร์ กล่าว

นอกจากนี้ นายภูเบศร์กล่าวว่า การต่อยอดดังกล่าวคือในอนาคตเมื่อผลผลิตของเอกชนจีนเต็มพื้นที่ก็ย่อมต้องมีผลกล้วยที่ใช้ส่งออกไม่ได้ โดยอาจมีขนาดเล็กหรือไม่ได้ลักษณะเพื่อการส่งออกแต่ยังคงเนื้อกล้วยที่มีคุณภาพเช่นเดิม ทำให้เอกชนต้องหาทางกำจัดโดยอาจจะให้รถขยะเทศบาลรับไปทิ้งตามขั้นตอนหรืออื่นๆ ซึ่งในกรณีนี้ทางอำเภอก็มีแนวทางจะหารือกับเอกชนเพื่อให้ร่วมมือกับกลุ่มท้องถิ่นชาวบ้านในการรับซื้อผลผลิตคงเหลือนี้ในราคาถูก เพื่อนำมาแปรรูปเป็นสินค้าปลอดภัยเพราะได้ผ่านการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่แล้วดังกล่าวซึ่งก็ถือเป็นการรับประกันผลผลิตไปในตัว เอกชนก็มีที่จำหน่ายโดยไม่ต้องทิ้งซึ่งอย่างน้อยก็ได้เม็ดเงินจากการขายดีกว่าทิ้งไปเสียเปล่าๆ ส่วนชาวบ้านก็มผลผลิตแปรรูปซึ่งสามารถนำไปเป็นครีมกล้วยหอมสามารถบีบจากหลอดใส่ขนมเอแคลร์ เค้ก ฯลฯ เพื่อเป็นสินค้าพื้นที่ที่ไม่เหมือนใครและเพิ่มมูลค่าได้จึงเรียกได้ว่าได้ประโยชน์พร้อมกันทุกฝ่ายนั่นเอง