•…ยังเป็นประเด็นต้องพูดถึงกับโครงการ “พาคนกลับบ้าน” ฉบับเซตซีโร่ ของ “บิ๊กอาร์ต” หรือ พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 ที่ทำให้เกิดความรัดกุมมากขึ้นในการคัดกรองคน 3 กลุ่ม ที่มีหมาย พ.ร.ก., หมาย ป.วิอาญา, กลุ่มไม่มีหมายแต่มีชื่อในระบบฐานข้อมูล และยังเพิ่มกลุ่มนอกระบบฐานข้อมูล หรือกลุ่มที่มีหลักฐานถูกกล่าวพาดพิงจากการซักถาม ให้เข้าสู่ขั้นตอนนำไปสู่กระบวนการยุติธรรม…• หลังออกสตาร์ตไม่นาน สะพานก้าวข้ามความขัดแย้งก็เห็นผล ผู้เห็นต่างเริ่ม “เปิดใจ” พูดคุยถึงความยากลำบาก ถูก “ปั่นหัว” เข้าขบวนการ แม้เสียงวิจารณ์ถึงโครงการถูกมองว่า “จัดฉาก” ก็เป็นแค่ความเห็นหนึ่งที่ขอพิสูจน์ ยิ่งเมื่อเข้ามาดูสิ่งที่สัมผัสได้จากคนที่เข้าโครงการ คนเหล่านี้ต่างหากเล่าที่ “เหลือทน” แล้วกับการใช้ชีวิตความเป็นอยู่อย่าง “อัตคัด ขัดสน” บนป่าเขา หลบๆ ซ่อนๆ อย่างไร้ทิศทางที่เกิดขึ้นจริง จนต้องหันมาเปิดใจรับฟังข้อมูล “พาคนกลับบ้าน”…• อยู่มาวันหนึ่ง โครงการนี้เสมือนไปทิ่มแทง “จุดอ่อน” ของขบวนการเข้า สำหรับ “สุกรี ฮารี” ที่อ้างความเป็นหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้จากมาราปาตานี เรียกร้องให้รัฐบาลไทยหยุดสร้างความสับสนและความเข้าใจผิด พร้อมกับละเลง 4 ข้อที่บอกว่าเป็นสาระสำคัญ…• ข้อหนึ่งอ้างว่ายังไปได้ดีกับแผนเจรจาสันติสุข แต่อีกด้านหนึ่งฟ้องรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า
“การกระทำบางประการของแม่ทัพภาคที่ 4 ขัดแย้งกับกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุข” ทั้ง “พาคนกลับบ้าน” กับ “พื้นที่ปลอดภัย 14 แห่ง” ของแม่ทัพ ไม่สัมพันธ์กับกระบวนการพูดคุยสันติสุข…• เมื่อหันสปอตไลต์ส่องมาที่ “สุกรี ฮารี” ต้องย้อนไปในปี 2548 เป็น 1 ใน 8 อุสตาซ ถูกเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ จับกุมด้วยข้อหากบฏแบ่งแยกดินแดน ก่อนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อสู้คดี กระทั่งมาถึงรัฐบาลหลังรัฐประหารปี 2549 ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ผ่านขั้นตอนการประกันตัว ตามนโยบายให้ประกันตัวผู้ต้องคดีความมั่นคงเพื่อลดเงื่อนไขความขัดแย้ง…• มาปรากฏตัวอีกครั้งในช่วงปี 2555-56 ร่วมกับพวกเจรจาเรื่องแผนสันติภาพกับรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่อมาเดือน ส.ค.2558 “สุกรี” เปิดตัวพร้อมเพื่อนที่กัวลาลัมเปอร์ สวมหมวก “มาราปาตานี” เป็นหัวหน้าคณะเจรจาฝั่งเห็นต่างคุยกับรัฐบาลไทย…• “สุกรี” รับรู้เรื่องราว “พาคนกลับบ้าน” อย่างดีมาแต่ต้น กลับแถลงการณ์ “เหมือนไม่รู้ความ” เมื่อ มี.ค.ที่ผ่านมา แตกต่างกับคณะของ Mr.salin mutlu sen เอกอัครราชทูตคณะผู้แทนถาวรตุรกีประจำองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) และคณะ ลงตรวจเยี่ยมโครงการพาคนกลับบ้านที่ จ.ปัตตานี เมื่อเดือน ก.พ. ให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่ง “รู้สึกดีใจที่ได้ลงพื้นที่มาดูการดำเนินงานโครงการนำผู้เห็นต่างกลับมา ขอให้โครงการนี้สำเร็จ ขอชื่นชมรัฐบาลไทยที่ดูแลพี่น้องมุสลิมอย่างดี OIC พร้อมรับฟังแนวทางจากรัฐบาลไทย ขอให้พี่น้องชาวมุสลิมร่วมมือในการพัฒนาประเทศให้มีความเจริญรุ่งเรืองต่อไป ในฐานะประเทศมุสลิมด้วยกันก็ไม่ยอมรับการใช้ความรุนแรง และอยากให้อยู่ด้วยกันอย่างสันติต่อไป”…• ฉะนั้น หากเกิดข้อติเตียนจาก OIC ทางรัฐบาลไทยและกองทัพภาคที่ 4 ก็เต็มใจรับฟังมากกว่าเป็นไหนๆ…• ล่าสุด ยังมีข้อครหา กระแสข่าวว่าจะมีการปล่อยตัวผู้ต้องหาในคดีความมั่นคงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวน 7 คนที่ถูกศาลสั่งจำคุก ทางการจะให้ “พักโทษ” แล้วนำไปไว้ใน “เซฟตี้โซน”…• เรื่องพรรค์นี้กองทัพคงไม่ตอบโต้ให้เสียเวลา “พาคนกลับบ้าน” ยังทำงานด้วยความ “หนักแน่น” อย่างสม่ำเสมอเป็นช่องทางที่ดีที่สุดในเวลานี้ ดังนั้น กับกระแสลอยลมเช่นนี้ต้องสนใจกระนั้นหรือ สนใจไปทำไม สนใจเพื่ออะไร สนใจแล้วเสียเวลา การปล่อยตัวชั่วคราวหนก่อนก็ไม่ได้เห็น “ความจริงใจ” แม้แต่น้อย หายเข้ากลีบเมฆ!…• ต้องโยนคำถามกลับไปว่า คนที่ตัดสินใจเข้าสู่ “พาคนกลับบ้าน” กับบุคคลเหล่านี้ เราสมควรให้ “ราคา” ใครมากกว่ากัน…•
นายอุตสาหะ