รวมเรื่องเล่า พระราชอารมณ์ขัน’ในหลวง’

นับเป็นเรื่องเล่าที่แสนประทับใจของปวงชนชาวไทยในเรื่อง “พระราชอารมณ์ขัน” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่เมื่อเล่าสู่กันฟังครั้งใดก็สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้ได้เมื่อนั้น

ในโอกาสนี้ จึงได้รวบรวมพระราชอารมณ์ขันของ “ในหลวง” จากหนังสือพระราชอารมณ์ขัน ของ วิลาศ มณีวัต มาเล่าสู่กันฟัง

‘มิกกี้เมาส์’

เมื่อครั้งพระองค์พระชนมพรรษา 72 พรรษา มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาตนำพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์มาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ พอพระองค์ทรงทราบเรื่องแล้ว จึงตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า

ADVERTISMENT

“ไปบอกเค้านะ เราไม่ใช่มิกกี้เมาส์”

‘เป็นหมอ’

ADVERTISMENT

ครั้งหนึ่งได้มีพิธีการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางนิติศาสตร์ พระองค์รับสั่งกับมหาดเล็กใกล้ชิดว่า “ฉันได้เป็นหมอความแล้ว” ต่อมาเมื่อมีการถวายปริญญาทางดิน ก็รับสั่งว่า “ตอนนี้เราเป็นหมอดินแล้ว” ไม่นานก็มีการถวายปริญญาทางดนตรีอีก จึงรับสั่งอีกว่า “ในตอนนี้เราเป็นหมอลำ”

‘คนในแบงก์’

อีกเรื่องหนึ่งที่ได้ยินมา…เมื่อคราวที่ทูลกระหม่อมฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ประทับที่โรงพยาบาลศิริราช ช่วงเช้าตรู่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พยาบาลที่ถวายงานอยู่จึงไปรับสาย ก็มีเสียงปลายทางพูดมาว่า “ขอสายฟ้าหญิง”

พยาบาลที่รับสายจึงถามกลับไปว่า “ขอประทานโทษค่ะ ใครจะเรียนสายด้วยคะ”

“บอกเขาว่าคนในแบงก์โทรมา” อีกฝ่ายตอบกลับมา

พยาบาลจึงถามกลับไปว่า “ธนาคารไหนคะ” และคิดในใจว่ายังเช้าอยู่อย่างนี้โทรมาเรื่องอะไร แต่พอกลับมานั่งทบทวนว่าคนในแบงก์โทรมา ถึงกับตื่นเต้นตกใจขนลุกขนพอง เพราะคนในแบงก์ก็คือ “ในหลวง” นั่นเอง

‘พวกเดียวกัน’

ในการเสด็จออกเยี่ยมราษฎรอำเภอไกลๆ ที่กันดารนั้น บางครั้งกำนันก็อยากกราบบังคมทูลด้วยราชาศัพท์ แต่อันที่จริงนั้นไม่ต้องก็ได้ มิได้ทรงเห็นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะทรงถือว่าความจงรักภักดีและความเคารพในหัวใจนั้นสำคัญยิ่งกว่าราชาศัพท์

แต่ถึงกระนั้นกำนันบางคนก็ยังอยากจะกราบบังคมทูลให้ถูกต้องตามแบบแผน อุตส่าห์ไปซ้อมเสียหลายวัน ท่องมาจนจำขึ้นใจ แต่พอเสด็จฯมาถึงเข้าจริงๆ ท่านกำนันก็รายงานตัวไปว่า “ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า…”

“เราพวกเดียวกันนะ…” รับสั่งด้วยความเมตตาอย่างพ่อพูดกับลูก

กำนันเห็นว่า ทรงพระกรุณาเช่นนั้น ก็เปลี่ยนใจมากราบบังคมทูลด้วยภาษาธรรมดา

‘กี่กิโล’

เรื่องพระราชอารมณ์ขันนี้ ม.ล.ปิ่น มาลากุล เคยเล่าให้ฟังว่า ที่มหาวิทยาลัยประสานมิตรปีหนึ่ง เมื่อพระราชทานปริญญาบัตรเสร็จแล้ว มีพระราชดำรัสแก่ ม.ล.ปิ่นว่า “วันนี้ฉันได้ให้ปริญญาบัตรไปกี่กิโล”

ม.ล.ปิ่นอึกอักจนด้วยเกล้าฯ เพราะมิได้ให้ปลัดกระทรวงหรืออธิบดีชั่งน้ำหนักก่อนเพื่อกราบบังคมทูล

แต่ในปีต่อมา ในโอกาสเช่นเดียวกัน อธิการบดีของมหาวิทยาลัยได้เตรียมพร้อมชั่งน้ำหนักใบปริญญาบัตรจำนวนทั้งหมดไว้เรียบร้อยแล้วล่วงหน้า

ม.ล.ปิ่นจึงกราบทูลเสียงดังว่า “วันนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานปริญญาบัตรไปจำนวนทั้งหมด 230 กิโลกรัม”

ในทันทีนั้นก็มีพระราชดำรัสถาม ม.ล.ปิ่นว่า “ฉันจะต้องได้อาหารสักกี่แคลอรี จึงจะพอชดเชยกับแรงงานที่ได้เสียไป”

‘ไปไหมเสี่ย’

เมื่อสมัยก่อนเสด็จแปรพระราชฐานไปยังหัวหิน มักจะเสด็จออกไปยังตลาดหัวหินบ่อยครั้ง และบางครั้งโดยลำพังพระองค์เดียว มีครั้งหนึ่งระหว่างจะเสด็จกลับ

ซาเล้งที่ตลาดทูลถามว่า “ไปไหมเสี่ย” ปรากฏว่าเสี่ยพระองค์นี้สนพระทัยก็ตรัสจ้างไปยังวังไกลกังวล โดยที่ซาเล้งคนนั้นไม่รู้ นึกว่าเป็นข้าราชการ แต่พอถึงหน้าวัง ทหารสั่งวันทยาวุธ เท่านั้นแหละ ซาเล้งถึงรู้ว่า เสี่ยที่มาส่งน่ะเป็นใคร

‘ไม่มีบัตร’

พระองค์โปรดเสด็จพระดำเนินระยะไกลตามชายทะเลจากหน้าวังและเสด็จฯกลับมาในตอนเย็นๆ อยู่บ่อยๆ เมื่อเสด็จฯกลับถึงปรากฏว่าทหารนั้นไม่ให้พระองค์เข้า “ไม่ได้ครับ ไม่มีบัตรผ่าน เข้าไม่ได้” ทหารทูล

“ขอโทษที ฉันไม่มีบัตร แต่เอาเป็นว่า ตอนนี้เธอมีธนบัตรไหม” ทรงตอบ

ทหารว่า “มีครับ ทำไมหรือ”

ก็ตรัสว่า “นั่นแหละบัตรของฉัน”

“ข้าวกล้องคนจน”

เมื่อไม่กี่ปีมานี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ไปทอดพระเนตรกิจการตามแนวพระราชดำริ ซึ่งมีเรื่องเกี่ยวกับข้าวกล้องอยู่ด้วย พระองค์ตรัสว่า “ข้าวกล้องนี้ดี เรากินข้าวกล้องทุกวัน”

สมเด็จพระเทพฯ ทรงเห็นว่าน่าสนใจ แต่นักข่าวไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ จึงตรัสว่า “น่าสนใจนะ น่าจะเก็บไว้”

ก็เลยมีการทูลขอให้พระองค์ตรัสอีกครั้งหนึ่ง จึงได้คำตอบที่ไม่คิดจะได้ว่า

“ข้าวกล้องนี้ดี มีประโยชน์ คนอื่นเขาว่าเป็นข้าวของคนจน เรากินข้าวกล้องทุกวัน เรานี่แหละคนจน”

‘จังหวะห้า..สี่’

แม้แต่ในยามทรงพระประชวร เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 2525 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระปรอทสูง พระหทัยเต้นไม่เป็นปกติ แต่ก็ยังทรงมีพระราชอารมณ์ขันอยู่ตลอดเวลา

ในฐานะทรงเป็นนักดนตรี ได้รับสั่งกับหมอว่า จังหวะการเต้นของพระหทัยนี้ คล้ายๆ กับจังหวะห้าสี่ในทางดนตรี และหลังจากทรงหายประชวรแล้ว ก็ทรงแต่งเพลงแจ๊ซ จังหวะห้าสี่ขึ้นเพลงหนึ่ง ให้ชื่อว่า High Fever

น่าชื่นชมในพระอัจฉริยภาพของพระองค์ไหมล่ะครับ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image