60 ฝนหลวง พระเมตตาจากฟ้า ช่วยไทย-โลกพ้นภัยแล้ง

D0953_01

 

“ข้าพเจ้าแหงนดูท้องฟ้า และพบว่ามีเมฆเป็นจำนวนมาก แต่เมฆเหล่านั้นพัดผ่านที่แห้งแล้งไป วิธีแก้ไขอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรที่จะให้เมฆเหล่านั้นตกลงมาเป็นฝนในท้องถิ่นนั้น ความคิดนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการทำฝนเทียม”

จากพระราชบันทึกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่อง “Rainmaking Story” ที่พระราชทานผ่านกองงานส่วนพระองค์ในปี พ.ศ.2543 นั้น สะท้อนให้เห็นถึงเหตุการณ์เริ่มแรกที่ก่อให้เกิด “ที่มาของพระราชดำริฝนหลวง” ขณะที่พระองค์เสด็จฯเยี่ยมประชาชนในพื้นที่แห้งแล้งทุรกันดาร 15 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 2-20 พฤศจิกายน พ.ศ.2498 ครั้งนั้นทรงพบเห็นความเดือดร้อนของประชาชนอันเนื่องมากจากความผันแปรไม่แน่นอนของฝนธรรมชาติ

“ฝนหลวง” จึงกำเนิดขึ้นด้วยน้ำพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงห่วงใยปัญหาและความทุกข์ยากของพสกนิกร จึงมีพระราชดำริค้นหาวิธีการที่จะทำให้เกิด “ฝน” นอกเหนือจากที่ได้รับจากธรรมชาติ โดยเริ่มทดลองทำฝนหลวงครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อปี 2512 โดยนำเทคโนโลยีทันสมัยและทรัพยากรที่มีอยู่มาประยุกต์กับศักยภาพของการเกิดฝนในเขตร้อนเช่นประเทศไทย

ADVERTISMENT

 

60 ปี ‘ฝนหลวง’ บรรเทาสารพัดปัญหา

จากวันนั้นถึงวันนี้ นับเป็นเวลา 6 ทศวรรษที่ “ฝนหลวง” บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้ปวงประชา ชุบชูชีวิตเกษตรกรที่กำลังประสบวิกฤตจากภาวะภัยแล้งอย่างรุนแรงในทั่วทุกภาคของไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทุ่มเทพระสติปัญญาและพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้กับการค้นคว้าทดลองอย่างจริงจัง หลายครั้งพระองค์จะทรงลงมาบัญชาการปฏิบัติการฝนหลวงด้วยพระองค์เอง และทุกครั้งก็ช่วยคลี่คลายสถานการณ์วิกฤตได้เสมอ

นายเลอศักดิ์ ริ้วตระกูลไพบูลย์ อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทุ่มเทพระสติปัญญา พระวิริยะอุตสาหะ ช่วยเหลือให้ประชาชนรอดพ้นจากภัยแล้งจากการดัดแปลงสภาพอากาศ ซึ่งฝนหลวงไม่ได้แก้เรื่องฝนทิ้งช่วงได้อย่างเดียว แต่แก้ปัญหาต่างๆ ได้อีก ทั้งดับไฟป่า ทำลายหมอกควัน เพิ่มปริมาณน้ำให้หน้าดินอิ่มตัวลึกลงไปจนถึงระดับใต้ดิน เพิ่มน้ำในเขื่อน เป็นต้น

“อย่างเมื่อปี 2516 วันที่ 27 เมษายน-1 พฤษภาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบัญชาการให้ปฏิบัติการทำฝนจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐานมายังฐานปฏิบัติการที่สนามบินดอนเมือง เพื่อบรรเทาการระบาดของอหิวาตกโรคในกรุงเทพฯและปริมณฑล ทำให้ภาวะวิกฤตคืนสู่ภาวะปกติได้ใน 4 วัน หรือวันที่ 8-23 พฤษภาคม ปีเดียวกัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิบัติการผลักดันน้ำเค็มและไล่น้ำเน่าในแม่น้ำกลองและช่วยเหลือไร่อ้อยของสมาคมชาวไร่อ้อยเขต 7”

4_นายจีรศักดิ์ ซุ่นไร้ ชมเชยPostcard 0898621586 ชื่อภาพด้วยพระมหากรุณาธิคุณ

ปี 58 ปฏิบัติการช่วยไทยพ้นภัยแล้ง

จากปรากฏการณ์เอลนิโญ ฝนทิ้งช่วงปีในฤดูฝนปี 2558 นับเป็นภัยแล้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แม้จะประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง “ศูนย์ฝนหลวงพิเศษ” ที่ จ.นครสวรรค์และเชียงใหม่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้านอุปโภคบริโภคให้แก่ราษฎรในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา รวมทั้งในเขตภาคเหนือ และเพื่อเติมน้ำลงเขื่อนที่ปริมาณน้ำลดลงถึงขั้นวิกฤต ได้แก่ เขื่อนภูมิพล จ.ตาก เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรีและสระบุรี และเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จ.พิษณุโลก โดยเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 31 สิงหาคม รวมระยะเวลา 60 วัน ขึ้นบินทั้งหมด 1,420 เที่ยว รวมชั่วโมงบิน 2,081 ชั่วโมง

นายดิสธร วัชโรทัย รองเลขาธิการพระราชวัง กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงติดตามสถานการณ์มาโดยตลอด และทรงทราบว่าภัยแล้งปีนี้วิกฤตมากที่สุด โดยเฉพาะพื้นที่ที่เกี่ยวกับน้ำอุปโภคบริโภค เกี่ยวกับการเกษตรในพื้นที่ลุ่มภาคกลาง จึงมีพระราชประสงค์ให้เน้นบริเวณนี้ โดยมีพระราชกระแสให้ยุบหน่วยฝนหลวงปกติมารวมกันเพื่อจัดตั้งเป็นหน่วยพิเศษ และทำงานเชิงบูรณาการอย่างเต็มที่

ผลสำเร็จจากปฏิบัติการครั้งนี้ สามารถช่วยให้ 15 จังหวัดที่ประกาศเป็นพื้นที่ภัยแล้งพ้นวิกฤต อีกทั้งยังเพิ่มปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนได้มากขึ้น

“แม้น้ำในเขื่อนอาจมีไม่มาก แต่ปฏิบัติการครั้งนี้สามารถบรรเทาความเดือดร้อนด้านน้ำอุปโภคบริโภคและทำการเกษตร นี่คือสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชประสงค์ เพื่อให้ประชาชนชาวไทยมีความสุขก็เพียงพอแล้ว” รองเลขาธิการพระราชวังกล่าว

ไม่เพียงช่วยชาวลุ่มน้ำเจ้าพระยาให้พ้นวิกฤตจากภัยแล้ง ในภาคใต้ตอนล่างที่ประสบปัญหา “หมอกควัน” ที่มีผลมาจากประเทศอินโดนีเซียในช่วงเดือนตุลาคม “ฝนหลวง” ก็เข้าไปแก้ไขปัญหา โดยให้น้ำฝนเป็นตัวจับและควบรวมกับควันฝุ่นละออง ช่วยทำให้อนุภาคฝุ่นละอองมีน้ำหนักมากไม่สามารถลอยตัวฟุ้งอยู่ในอากาศ และตกลงสู่พื้นดินต่อไป

เลอศักดิ์ ริ้วตระกูลไพบูลย์
นายเลอศักดิ์ ริ้วตระกูลไพบูลย์ อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร

ยกฐานะจาก ‘สำนักงาน’ สู่ ‘กรม’

นับตั้งแต่กำเนิดฝนหลวง ความสำคัญของฝนหลวงก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งปี 2518 รัฐบาลตราพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง “สำนักงานปฏิบัติการฝนหลวง” ขึ้น ในสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จากนั้นปี 2535 ยกฐานะขึ้นเป็น “สำนักฝนหลวงและการบินเกษตร” โดยรวมกับ “กองการบินเกษตร” โดยมีภารกิจกว้างขวางขึ้นกว่าเดิม และปี 2556 ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น “กรมฝนหลวงและการบินเกษตร” เพื่อให้การบริหารจัดการปฏิบัติการฝนหลวงเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และมีความคล่องตัวในการบูรณาการภารกิจร่วมกับส่วนราชการอื่น

อธิบดีกรมฝนหลวงฯกล่าวว่า ปัจจุบันมีศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ 5 ศูนย์ ภาคเหนือ จ.เชียงใหม่, ภาคกลาง จ.นครสวรรค์, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.ขอนแก่น, ภาคตะวันออก จ.ระยอง และภาคใต้ จ.สุราษฎร์ธานี ดูแลพื้นที่ลุ่มน้ำ 25 ลุ่มน้ำหลัก 36 เขื่อน ใน 77 จังหวัด

“เราดำเนินงานฝนหลวงทุกปี โดยจะเริ่มปฏิบัติงานตามแผนหลัก โดยเริ่มช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนจะเน้นทำน้ำฝนเพื่อสร้างความชุ่มชื้นให้พื้นที่เกษตรกรรมและป่าไม้ เพื่อป้องกันไฟป่า และปัญหาต่างๆ จากนั้นเดือนพฤษภาคม-กันยายนจะเข้าไปทำฝนหลวงในพื้นที่ที่ประสบภัยแล้ง ประสบฝนทิ้งช่วง ใครที่ประสบปัญหาก็จะร้องขอฝนมาจากหลายช่องทาง ทั้งเข้าไปกรอกแบบฟอร์มในเว็บไซต์ของกรม แจ้งกับอาสาสมัคร หรือแจ้งกับผู้ว่าฯ โดยเฉลี่ยจะมีประชาชนแจ้งขอฝนหลวงมากว่า 5,000 รายทุกปี จากนั้นเดือนสิงหาคม-ตุลาคม เราจะประสานกับกรมชลประทานดูน้ำแต่ละเขื่อน หากเขื่อนไหนมีปริมาณน้ำต่ำ เราก็จะไปเติมให้เพื่อให้มีน้ำใช้เป็นต้นทุนในปีแล้งถัดไป”

ขณะเดียวกันก็อาจจะมี “ภารกิจนอกแผน” หากมีปัญหาอื่นเข้ามา เช่น ปัญหาหมอกควัน เป็นต้น

ซึ่งทุกปฏิบัติการจะดำเนินการตาม “ตำราฝนหลวงพระราชทาน” ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานไว้ ซึ่งนับเป็นเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติในการ “เอาชนะภัยธรรมชาติ” ประกอบด้วย 6 ขั้นตอนมหัศจรรย์การทำฝน คือ 1.ก่อกวน 2.เลี้ยงให้อ้วน 3.โจมตี 4.การเพิ่มปริมาณน้ำฝนที่ตกลงสู่พื้นดิน 5.การโจมตีเมฆเย็นด้วยพลุซิลเวอร์ไอโอไดด์ 6.การโจมตีเมฆเย็นแบบซุปเปอร์แซนด์วิช

 

19_นางสาวสุวิมล ยืนยงค์ ชื่อภาพเหินฟ้าหาเมฆ 0873458776


‘ฝนหลวง’ ช่วยโลก

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกและพระองค์เดียวของโลกที่ทรงได้รับสิทธิบัตรฝนหลวง โดยเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2545 สำนักสิทธิบัตร กรมทรัพย์สินทางปัญญาแห่งประเทศไทย ได้ขอพระราชทานทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตร “การดัดแปลงสภาพอากาศเพื่อให้เกิดฝน”

นอกจากนี้ สำนักสิทธิบัตรแห่งสหภาพยุโรป ทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตร “Weather Modification by Royal Rainmeking Technology” ซึ่งสิทธิคุ้มครองในกลุ่มประเทศสมาชิกแห่งสหภาพยุโรปรวม 30 ประเทศ รวมทั้ง สำนักงานสิทธิบัตรแห่งเขตปกครองพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน ทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิภายใต้ชื่อเดียวกันด้วย

“สิทธิบัตรนี้ เราคิดเอง คนไทยทำเอง เป็นของคนไทย มิใช่เพื่อพระเจ้าอยู่หัว ทำฝนนี้ ทำสำหรับชาวบ้าน สำหรับประชาชน ไม่ใช่ทำสำหรับพระเจ้าอยู่หัว พระเจ้าอยู่หัวอยากได้น้ำ ก็ไปเปิดก๊อกเอาน้ำมาใช้ อยากได้น้ำสำหรับการเพาะปลูกก็ไปสูบจากน้ำคลองชลประทานได้ แต่ชาวบ้านชาวนาที่ไม่มีโอกาสมีน้ำสำหรับเกษตรก็ต้องอาศัยฝน ฝนไม่มีก็ต้องอาศัยฝนหลวง” พระราชกระแสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่รัฐบาลวันที่เข้าเฝ้าฯ ถวายสิทธิบัตรฝนหลวง เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2548

อธิบดีกรมฝนหลวงเปิดเผยว่า ด้วยนวัตกรรมฝนหลวงที่ช่วยให้ประชาชนพ้นจากความเดือดร้อน ทำให้หลายประเทศให้ความสนใจ และทำเรื่องขอมาเรียนรู้ฝนหลวงจากเรา เพื่อนำกลับไปแก้ปัญหาต่างๆ ในประเทศของตน ไม่ว่าจะเป็นประเทศในกลุ่มอาเซียนทุกประเทศ พม่า ลาว เขมร รวมไปถึงสิงคโปร์ จีน จอร์แดน โอมาน เป็นต้น

16_นายอนุวัตน์ หมั่นเส้น ชมเชยPostcard 0937641238 ชื่อภาพ ฝนมาชาวนายิ้ม

พระบิดาแห่งการประดิษฐ์โลก

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นทั้งนักวิทยาศาสตร์และวิศวกร ทรงใส่พระราชหฤทัยยิ่งในการยกระดับชีวิตของเกษตรกร ผู้จำต้องพึ่งพาดินฟ้าอากาศในการดำรงชีวิต การคิดค้นประดิษฐ์นวัตกรรมฝนหลวงจึงเป็นสิ่งชุบชีวิตให้มวลชีวิต ด้วยพระอัจฉริยภาพอันเปี่ยมล้น พระองค์ได้รับการถวายพระราชสมัญญานาม ดังนี้ “พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย” โดยกำหนดให้ทุกวันที่ 19 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันเทคโนโลยีของไทย “พระบิดาแห่งฝนหลวง” โดยกำหนดให้ทุกวันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปี เป็นวันพระบิดาแห่งฝนหลวง “พระบิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย” กำหนดให้วันที่ 2 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นวันนักประดิษฐ์ “พระบิดาแห่งนวัตกรรมไทย” กำหนดให้วันที่ 5 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันนวัตกรรมแห่งชาติ

นอกจากนี้ สมาพันธ์นักประดิษฐ์นานาชาติ (IFIA) ซึ่งมีสมาชิก 189 ประเทศทั่วโลกและสมาคมส่งเสริมการประดิษฐ์เกาหลีใต้ (KIPA) มีมติเอกฉันท์ ถวายพระราชสมัญญานาม “พระบิดาแห่งการประดิษฐ์โลก”

1_นายสุกฤษฏิ์ หิรัญสารพงศ์ รางวัลชนะเลิศ ชื่อภาพไถ่นา เบอร์โทร 0846165799

แปรแนวพระราชดำริสู่การปฏิบัติ

อธิบดีเลอศักดิ์กล่าวว่า ประเทศไทยมีพื้นฐานระบบการจัดทรัพยากรน้ำที่ครบบริบูรณ์ตามวัฏจักรของน้ำ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงวางรากฐานไว้ ทั้งน้ำผิวดิน น้ำใต้ดิน และน้ำในบรรยากาศ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่การต่อยอดของเรายังไปไม่สุด ทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีให้ก้าวหน้า และพัฒนาคนให้มีความรู้เรื่องความเชี่ยวชาญ อย่างกรมฝนหลวง ยังมีความจำเป็นที่จะต้องผลิตบุคลากรขึ้นมา ซึ่งตอนนี้เราขาดวิศวกรอากาศยาน อยากให้หน่วยราชการ โดยเฉพาะ กพ.เข้าใจตรงนี้ ถึงเวลาแล้วที่เราต้องผลิตคน เพราะในศตวรรษที่ 21 น้ำจะเป็นทรัพยากรที่สำคัญยิ่ง

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีสายพระเนตรที่ยาวไกล ทรงเข้าใจว่า การบริหารจัดการน้ำมี 3 ระบบด้วยกัน คือ 1.การบริหารจัดการผิวดิน (กรมชลประทาน) 2.การบริหารจัดการน้ำใต้ดิน (กรมทรัพยากรน้ำบาดาล) และ 3.การบริหารจัดการน้ำในบรรยากาศ (กรมฝนหลวงฯ) ขณะนี้ประเทศไทยโชคดี เรามีความรู้ทั้ง 3 ด้าน ความรู้ที่พระองค์ทรงคิดมาให้ครบหมดแล้ว”

“ซึ่งทุกวันนี้การบริหารจัดการน้ำในทุกด้านของประเทศไทย ก็ได้นำแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้ในการบริหารจัดการ แนวพระราชดำริของพระองค์ยังคงทันสมัย พระองค์ทรงคิดไว้หมดแล้ว แต่วิธีการนำไปใช้ คือ ประชาชนจะนำไปใช้อย่างไร ก็ต้องย้อนกลับไปที่การศึกษา เราจะทำอย่างไรที่จะแปรแนวพระราชดำริให้ถึงเป้าหมายอย่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชประสงค์ รัฐต้องรีบต่อยอด รัฐต้องให้ความสำคัญ” อธิบดีเลอศักดิ์ทิ้งท้าย

ดังพระราชดำรัส ณ สวนจิตรลดา เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2529 ว่า

“…หลักสำคัญว่าต้องมีน้ำบริโภค น้ำใช้ น้ำเพื่อการเพาะปลูก เพราะว่าชีวิตอยู่ที่นั่น ถ้ามีน้ำคนอยู่ได้ ถ้าไม่มีน้ำ คนอยู่ไม่ได้ ไม่มีไฟฟ้าคนอยู่ได้ แต่ถ้ามีไฟฟ้าไม่มีน้ำคนอยู่ไม่ได้…”

ขอบคุณรูปบางส่วนจากโครงการประกวดภาพถ่าย “60 ปี พระเมตตาจากฟ้า สู่ประชาของแผ่นดิน” กรมฝนหลวงและการบินเกษตร