ที่มา | หนังสือพิมพ์มติชน |
---|---|
เผยแพร่ |
“ข้าพเจ้าแหงนดูท้องฟ้า และพบว่ามีเมฆเป็นจำนวนมาก แต่เมฆเหล่านั้นพัดผ่านที่แห้งแล้งไป วิธีแก้ไขอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรที่จะให้เมฆเหล่านั้นตกลงมาเป็นฝนในท้องถิ่นนั้น ความคิดนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการทำฝนเทียม”
จากพระราชบันทึกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่อง “Rainmaking Story” ที่พระราชทานผ่านกองงานส่วนพระองค์ในปี พ.ศ.2543 นั้น สะท้อนให้เห็นถึงเหตุการณ์เริ่มแรกที่ก่อให้เกิด “ที่มาของพระราชดำริฝนหลวง” ขณะที่พระองค์เสด็จฯเยี่ยมประชาชนในพื้นที่แห้งแล้งทุรกันดาร 15 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 2-20 พฤศจิกายน พ.ศ.2498 ครั้งนั้นทรงพบเห็นความเดือดร้อนของประชาชนอันเนื่องมากจากความผันแปรไม่แน่นอนของฝนธรรมชาติ
“ฝนหลวง” จึงกำเนิดขึ้นด้วยน้ำพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงห่วงใยปัญหาและความทุกข์ยากของพสกนิกร จึงมีพระราชดำริค้นหาวิธีการที่จะทำให้เกิด “ฝน” นอกเหนือจากที่ได้รับจากธรรมชาติ โดยเริ่มทดลองทำฝนหลวงครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อปี 2512 โดยนำเทคโนโลยีทันสมัยและทรัพยากรที่มีอยู่มาประยุกต์กับศักยภาพของการเกิดฝนในเขตร้อนเช่นประเทศไทย
60 ปี ‘ฝนหลวง’ บรรเทาสารพัดปัญหา
จากวันนั้นถึงวันนี้ นับเป็นเวลา 6 ทศวรรษที่ “ฝนหลวง” บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้ปวงประชา ชุบชูชีวิตเกษตรกรที่กำลังประสบวิกฤตจากภาวะภัยแล้งอย่างรุนแรงในทั่วทุกภาคของไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทุ่มเทพระสติปัญญาและพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้กับการค้นคว้าทดลองอย่างจริงจัง หลายครั้งพระองค์จะทรงลงมาบัญชาการปฏิบัติการฝนหลวงด้วยพระองค์เอง และทุกครั้งก็ช่วยคลี่คลายสถานการณ์วิกฤตได้เสมอ
นายเลอศักดิ์ ริ้วตระกูลไพบูลย์ อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทุ่มเทพระสติปัญญา พระวิริยะอุตสาหะ ช่วยเหลือให้ประชาชนรอดพ้นจากภัยแล้งจากการดัดแปลงสภาพอากาศ ซึ่งฝนหลวงไม่ได้แก้เรื่องฝนทิ้งช่วงได้อย่างเดียว แต่แก้ปัญหาต่างๆ ได้อีก ทั้งดับไฟป่า ทำลายหมอกควัน เพิ่มปริมาณน้ำให้หน้าดินอิ่มตัวลึกลงไปจนถึงระดับใต้ดิน เพิ่มน้ำในเขื่อน เป็นต้น
“อย่างเมื่อปี 2516 วันที่ 27 เมษายน-1 พฤษภาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบัญชาการให้ปฏิบัติการทำฝนจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐานมายังฐานปฏิบัติการที่สนามบินดอนเมือง เพื่อบรรเทาการระบาดของอหิวาตกโรคในกรุงเทพฯและปริมณฑล ทำให้ภาวะวิกฤตคืนสู่ภาวะปกติได้ใน 4 วัน หรือวันที่ 8-23 พฤษภาคม ปีเดียวกัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิบัติการผลักดันน้ำเค็มและไล่น้ำเน่าในแม่น้ำกลองและช่วยเหลือไร่อ้อยของสมาคมชาวไร่อ้อยเขต 7”
ปี 58 ปฏิบัติการช่วยไทยพ้นภัยแล้ง
จากปรากฏการณ์เอลนิโญ ฝนทิ้งช่วงปีในฤดูฝนปี 2558 นับเป็นภัยแล้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แม้จะประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง “ศูนย์ฝนหลวงพิเศษ” ที่ จ.นครสวรรค์และเชียงใหม่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้านอุปโภคบริโภคให้แก่ราษฎรในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา รวมทั้งในเขตภาคเหนือ และเพื่อเติมน้ำลงเขื่อนที่ปริมาณน้ำลดลงถึงขั้นวิกฤต ได้แก่ เขื่อนภูมิพล จ.ตาก เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรีและสระบุรี และเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จ.พิษณุโลก โดยเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 31 สิงหาคม รวมระยะเวลา 60 วัน ขึ้นบินทั้งหมด 1,420 เที่ยว รวมชั่วโมงบิน 2,081 ชั่วโมง
นายดิสธร วัชโรทัย รองเลขาธิการพระราชวัง กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงติดตามสถานการณ์มาโดยตลอด และทรงทราบว่าภัยแล้งปีนี้วิกฤตมากที่สุด โดยเฉพาะพื้นที่ที่เกี่ยวกับน้ำอุปโภคบริโภค เกี่ยวกับการเกษตรในพื้นที่ลุ่มภาคกลาง จึงมีพระราชประสงค์ให้เน้นบริเวณนี้ โดยมีพระราชกระแสให้ยุบหน่วยฝนหลวงปกติมารวมกันเพื่อจัดตั้งเป็นหน่วยพิเศษ และทำงานเชิงบูรณาการอย่างเต็มที่
ผลสำเร็จจากปฏิบัติการครั้งนี้ สามารถช่วยให้ 15 จังหวัดที่ประกาศเป็นพื้นที่ภัยแล้งพ้นวิกฤต อีกทั้งยังเพิ่มปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนได้มากขึ้น
“แม้น้ำในเขื่อนอาจมีไม่มาก แต่ปฏิบัติการครั้งนี้สามารถบรรเทาความเดือดร้อนด้านน้ำอุปโภคบริโภคและทำการเกษตร นี่คือสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชประสงค์ เพื่อให้ประชาชนชาวไทยมีความสุขก็เพียงพอแล้ว” รองเลขาธิการพระราชวังกล่าว
ไม่เพียงช่วยชาวลุ่มน้ำเจ้าพระยาให้พ้นวิกฤตจากภัยแล้ง ในภาคใต้ตอนล่างที่ประสบปัญหา “หมอกควัน” ที่มีผลมาจากประเทศอินโดนีเซียในช่วงเดือนตุลาคม “ฝนหลวง” ก็เข้าไปแก้ไขปัญหา โดยให้น้ำฝนเป็นตัวจับและควบรวมกับควันฝุ่นละออง ช่วยทำให้อนุภาคฝุ่นละอองมีน้ำหนักมากไม่สามารถลอยตัวฟุ้งอยู่ในอากาศ และตกลงสู่พื้นดินต่อไป

ยกฐานะจาก ‘สำนักงาน’ สู่ ‘กรม’
นับตั้งแต่กำเนิดฝนหลวง ความสำคัญของฝนหลวงก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งปี 2518 รัฐบาลตราพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง “สำนักงานปฏิบัติการฝนหลวง” ขึ้น ในสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จากนั้นปี 2535 ยกฐานะขึ้นเป็น “สำนักฝนหลวงและการบินเกษตร” โดยรวมกับ “กองการบินเกษตร” โดยมีภารกิจกว้างขวางขึ้นกว่าเดิม และปี 2556 ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น “กรมฝนหลวงและการบินเกษตร” เพื่อให้การบริหารจัดการปฏิบัติการฝนหลวงเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และมีความคล่องตัวในการบูรณาการภารกิจร่วมกับส่วนราชการอื่น
อธิบดีกรมฝนหลวงฯกล่าวว่า ปัจจุบันมีศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ 5 ศูนย์ ภาคเหนือ จ.เชียงใหม่, ภาคกลาง จ.นครสวรรค์, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.ขอนแก่น, ภาคตะวันออก จ.ระยอง และภาคใต้ จ.สุราษฎร์ธานี ดูแลพื้นที่ลุ่มน้ำ 25 ลุ่มน้ำหลัก 36 เขื่อน ใน 77 จังหวัด
“เราดำเนินงานฝนหลวงทุกปี โดยจะเริ่มปฏิบัติงานตามแผนหลัก โดยเริ่มช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนจะเน้นทำน้ำฝนเพื่อสร้างความชุ่มชื้นให้พื้นที่เกษตรกรรมและป่าไม้ เพื่อป้องกันไฟป่า และปัญหาต่างๆ จากนั้นเดือนพฤษภาคม-กันยายนจะเข้าไปทำฝนหลวงในพื้นที่ที่ประสบภัยแล้ง ประสบฝนทิ้งช่วง ใครที่ประสบปัญหาก็จะร้องขอฝนมาจากหลายช่องทาง ทั้งเข้าไปกรอกแบบฟอร์มในเว็บไซต์ของกรม แจ้งกับอาสาสมัคร หรือแจ้งกับผู้ว่าฯ โดยเฉลี่ยจะมีประชาชนแจ้งขอฝนหลวงมากว่า 5,000 รายทุกปี จากนั้นเดือนสิงหาคม-ตุลาคม เราจะประสานกับกรมชลประทานดูน้ำแต่ละเขื่อน หากเขื่อนไหนมีปริมาณน้ำต่ำ เราก็จะไปเติมให้เพื่อให้มีน้ำใช้เป็นต้นทุนในปีแล้งถัดไป”
ขณะเดียวกันก็อาจจะมี “ภารกิจนอกแผน” หากมีปัญหาอื่นเข้ามา เช่น ปัญหาหมอกควัน เป็นต้น
ซึ่งทุกปฏิบัติการจะดำเนินการตาม “ตำราฝนหลวงพระราชทาน” ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานไว้ ซึ่งนับเป็นเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติในการ “เอาชนะภัยธรรมชาติ” ประกอบด้วย 6 ขั้นตอนมหัศจรรย์การทำฝน คือ 1.ก่อกวน 2.เลี้ยงให้อ้วน 3.โจมตี 4.การเพิ่มปริมาณน้ำฝนที่ตกลงสู่พื้นดิน 5.การโจมตีเมฆเย็นด้วยพลุซิลเวอร์ไอโอไดด์ 6.การโจมตีเมฆเย็นแบบซุปเปอร์แซนด์วิช
‘ฝนหลวง’ ช่วยโลก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกและพระองค์เดียวของโลกที่ทรงได้รับสิทธิบัตรฝนหลวง โดยเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2545 สำนักสิทธิบัตร กรมทรัพย์สินทางปัญญาแห่งประเทศไทย ได้ขอพระราชทานทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตร “การดัดแปลงสภาพอากาศเพื่อให้เกิดฝน”
นอกจากนี้ สำนักสิทธิบัตรแห่งสหภาพยุโรป ทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตร “Weather Modification by Royal Rainmeking Technology” ซึ่งสิทธิคุ้มครองในกลุ่มประเทศสมาชิกแห่งสหภาพยุโรปรวม 30 ประเทศ รวมทั้ง สำนักงานสิทธิบัตรแห่งเขตปกครองพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน ทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิภายใต้ชื่อเดียวกันด้วย
“สิทธิบัตรนี้ เราคิดเอง คนไทยทำเอง เป็นของคนไทย มิใช่เพื่อพระเจ้าอยู่หัว ทำฝนนี้ ทำสำหรับชาวบ้าน สำหรับประชาชน ไม่ใช่ทำสำหรับพระเจ้าอยู่หัว พระเจ้าอยู่หัวอยากได้น้ำ ก็ไปเปิดก๊อกเอาน้ำมาใช้ อยากได้น้ำสำหรับการเพาะปลูกก็ไปสูบจากน้ำคลองชลประทานได้ แต่ชาวบ้านชาวนาที่ไม่มีโอกาสมีน้ำสำหรับเกษตรก็ต้องอาศัยฝน ฝนไม่มีก็ต้องอาศัยฝนหลวง” พระราชกระแสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่รัฐบาลวันที่เข้าเฝ้าฯ ถวายสิทธิบัตรฝนหลวง เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2548
อธิบดีกรมฝนหลวงเปิดเผยว่า ด้วยนวัตกรรมฝนหลวงที่ช่วยให้ประชาชนพ้นจากความเดือดร้อน ทำให้หลายประเทศให้ความสนใจ และทำเรื่องขอมาเรียนรู้ฝนหลวงจากเรา เพื่อนำกลับไปแก้ปัญหาต่างๆ ในประเทศของตน ไม่ว่าจะเป็นประเทศในกลุ่มอาเซียนทุกประเทศ พม่า ลาว เขมร รวมไปถึงสิงคโปร์ จีน จอร์แดน โอมาน เป็นต้น
พระบิดาแห่งการประดิษฐ์โลก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นทั้งนักวิทยาศาสตร์และวิศวกร ทรงใส่พระราชหฤทัยยิ่งในการยกระดับชีวิตของเกษตรกร ผู้จำต้องพึ่งพาดินฟ้าอากาศในการดำรงชีวิต การคิดค้นประดิษฐ์นวัตกรรมฝนหลวงจึงเป็นสิ่งชุบชีวิตให้มวลชีวิต ด้วยพระอัจฉริยภาพอันเปี่ยมล้น พระองค์ได้รับการถวายพระราชสมัญญานาม ดังนี้ “พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย” โดยกำหนดให้ทุกวันที่ 19 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันเทคโนโลยีของไทย “พระบิดาแห่งฝนหลวง” โดยกำหนดให้ทุกวันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปี เป็นวันพระบิดาแห่งฝนหลวง “พระบิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย” กำหนดให้วันที่ 2 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นวันนักประดิษฐ์ “พระบิดาแห่งนวัตกรรมไทย” กำหนดให้วันที่ 5 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันนวัตกรรมแห่งชาติ
นอกจากนี้ สมาพันธ์นักประดิษฐ์นานาชาติ (IFIA) ซึ่งมีสมาชิก 189 ประเทศทั่วโลกและสมาคมส่งเสริมการประดิษฐ์เกาหลีใต้ (KIPA) มีมติเอกฉันท์ ถวายพระราชสมัญญานาม “พระบิดาแห่งการประดิษฐ์โลก”
แปรแนวพระราชดำริสู่การปฏิบัติ
อธิบดีเลอศักดิ์กล่าวว่า ประเทศไทยมีพื้นฐานระบบการจัดทรัพยากรน้ำที่ครบบริบูรณ์ตามวัฏจักรของน้ำ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงวางรากฐานไว้ ทั้งน้ำผิวดิน น้ำใต้ดิน และน้ำในบรรยากาศ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่การต่อยอดของเรายังไปไม่สุด ทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีให้ก้าวหน้า และพัฒนาคนให้มีความรู้เรื่องความเชี่ยวชาญ อย่างกรมฝนหลวง ยังมีความจำเป็นที่จะต้องผลิตบุคลากรขึ้นมา ซึ่งตอนนี้เราขาดวิศวกรอากาศยาน อยากให้หน่วยราชการ โดยเฉพาะ กพ.เข้าใจตรงนี้ ถึงเวลาแล้วที่เราต้องผลิตคน เพราะในศตวรรษที่ 21 น้ำจะเป็นทรัพยากรที่สำคัญยิ่ง
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีสายพระเนตรที่ยาวไกล ทรงเข้าใจว่า การบริหารจัดการน้ำมี 3 ระบบด้วยกัน คือ 1.การบริหารจัดการผิวดิน (กรมชลประทาน) 2.การบริหารจัดการน้ำใต้ดิน (กรมทรัพยากรน้ำบาดาล) และ 3.การบริหารจัดการน้ำในบรรยากาศ (กรมฝนหลวงฯ) ขณะนี้ประเทศไทยโชคดี เรามีความรู้ทั้ง 3 ด้าน ความรู้ที่พระองค์ทรงคิดมาให้ครบหมดแล้ว”
“ซึ่งทุกวันนี้การบริหารจัดการน้ำในทุกด้านของประเทศไทย ก็ได้นำแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้ในการบริหารจัดการ แนวพระราชดำริของพระองค์ยังคงทันสมัย พระองค์ทรงคิดไว้หมดแล้ว แต่วิธีการนำไปใช้ คือ ประชาชนจะนำไปใช้อย่างไร ก็ต้องย้อนกลับไปที่การศึกษา เราจะทำอย่างไรที่จะแปรแนวพระราชดำริให้ถึงเป้าหมายอย่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชประสงค์ รัฐต้องรีบต่อยอด รัฐต้องให้ความสำคัญ” อธิบดีเลอศักดิ์ทิ้งท้าย
ดังพระราชดำรัส ณ สวนจิตรลดา เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2529 ว่า
“…หลักสำคัญว่าต้องมีน้ำบริโภค น้ำใช้ น้ำเพื่อการเพาะปลูก เพราะว่าชีวิตอยู่ที่นั่น ถ้ามีน้ำคนอยู่ได้ ถ้าไม่มีน้ำ คนอยู่ไม่ได้ ไม่มีไฟฟ้าคนอยู่ได้ แต่ถ้ามีไฟฟ้าไม่มีน้ำคนอยู่ไม่ได้…”
ขอบคุณรูปบางส่วนจากโครงการประกวดภาพถ่าย “60 ปี พระเมตตาจากฟ้า สู่ประชาของแผ่นดิน” กรมฝนหลวงและการบินเกษตร