ส.อ.ท. วอนรบ.ใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านโปร่งใส เลิกซอยย่อย เน้นไซส์กลางเห็นผลเร็ว
นายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงกรณีที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ชะลอแจกเงินหมื่นเฟส 3 และโยกเงินงบ 1.57 แสนล้านบาท ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวม ว่า สนับสนุนนโยบายการนำเงินดังกล่าวมากระตุ้นเศรษฐกิจในภาพ ทั้งการบริหารจัดการน้ำ คมนาคม ท่องเที่ยว ช่วยเอสเอ็มอี จ้างงาน กองทุนหมู่บ้าน และใช้ดิจิทัลพัฒนาการศึกษา เพราะประเมินว่าจะช่วยกระตุ้นจีดีพีประเทศเพิ่มขึ้น 0.7-1.0% แต่สิ่งที่อยากให้ความสำคัญมากๆ คือ การใช้งบประมาณที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ คุ้มค่าในระยะยาว ไม่ใช่แค่โครงการฉายฉวย ใช้เงินโดยเปล่าประโยชน์
“นอกจากนี้อยากให้โครงการที่รัฐบาลดำเนินการนั้น เป็นโครงการขนาดกลาง มากกว่าโครงการขนาดใหญ่ หรือโครงการขนาดเล็ก เพราะขนาดกลางจะขับเคลื่อนได้เร็ว วงเงินไม่มากเกินไป ส่วนโครงการขนาดใหญ่ใช้เวลานาน บางโครงการแค่ขั้นตอนเวนคืนที่ดินก็นานหลายปีแล้ว ขณะที่โครงการขนาดเล็กอาจทำให้เสี่ยงต่อการทุจริตได้”นายอภิชิตกล่าว
ทั้งนี้ การใช้เงินพัฒนาด้านระบบการจัดการน้ำนั้น อยากให้เป็นระบบสมาร์ท วอเตอร์ แมเนจเม้น และเชื่อมโยงเน็ตซีโร่ เพื่อให้โครงการตอบโจทย์ทั้งการพัฒนาประเทศ และมีส่วนช่วยระบบเศรษฐกิจไทยในภาพรวม ทั้งนี้ควรพัฒนาระบบน้ำทั้งภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม โดยโครงการควรให้ท้องถิ่นและเทศบาลดำเนินการ เพื่อสร้างการเรียนรู้ร่วมกัน อีกทั้งหน่วยงานท้องถิ่นจะเข้าใจระบบน้ำในพื้นที่มากที่สุด ทั้งนี้ไม่ควรซอยโครงการให้เล็ก หรือกระจายมากเกินไป เพราะอาจเกิดความซ้ำซ้อน ควรจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่พัฒนาโครงการ
ขณะที่ด้านคมนาคม คาดว่าส่วนใหญ่จะใช้กับการปรับปรุงถนน แก้ปัญหาการจราจรคอขวด ซึ่งการทำถนนอยากให้ใช้โอกาสนี้สนับสนุนสินค้าไทย อาทิ ใช้ยางพาราในประเทศทำผิวถนน และควรเดินหน้าโครงการที่ไม่ซ้ำซ้อนกัน มุ่งโครงการคมนาคมขนาดกลางเพื่อให้เกิดผลเร็วในด้านการใช้เงิน ที่ส่งต่อในระบบเศรษฐกิจ
ด้านท่องเที่ยว ขณะนี้แมนเมดเดสทิเนชั่น จะทำให้การท่องเที่ยวมีไฮซีซั่นตลอดปี ดังนั้นไทยต้องเดินหน้า และควรเป็นแบบสมาร์ททัวริซึ่ม เชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยว สร้างรูทการท่องเที่ยวแบบญี่ปุ่น และควรเน้นความยั่งยืน สร้างการมีส่วนร่วมกับนักท่องเที่ยว เพื่ออนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยวให้สมบูรณ์ในระยะยาว ขณะที่ด้านการดูแลเอสเอ็มอี ควรเริ่มจากการปรับโครงสร้างหนี้ ปรับจำนวนงวดหนี้ให้เหมาะสม เพื่อให้เอสเอ็มอีมีทุนในการประกอบธุรกิจ และควรช่วยเอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อที่ยังเป็นอุปสรรคสำคัญ
ด้านจ้างงานอยากให้เน้นการจ้างระยะยาว จ้างประจำ เพื่อให้ผู้ทำงานมีอาชีพ มีรายได้มั่นคง
และด้านการใช้ดิจิทัลัฒนาการศึกษา อยากให้องค์ความรู้ด้านการนำเทคโนโลยมาใช้ประโยชน์ มากกว่าการสั่งซื้ออุปกรณ์ด้านดิจิทัลมาใช้งาน จนสุดท้ายใช้งานไม่เต็มที่ อยากให้ใช้งบประมาณที่คุ้มค่าที่สุด เพื่อให้การกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง