ผู้เขียน | อภิวัฒน์ คำสิงห์ |
---|
หลังจากมีการนำกล้วยหอมทองมาแบ่งหวีขายในแพ็กเกจที่สวยงาม วางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ ซึ่งเป็นการกระจายสินค้าถึงมือผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง ประกอบกับกล้วยหอมทองสามารถนำไปเป็นวัตถุดิบในการผลิตขนม เบเกอรี่ เค้ก ไอศกรีม น้ำปั่น รวมทั้งกระแสรักสุขภาพมาแรง ทำให้ความนิยมบริโภคกล้วยหอมทองขยายตัวอย่างกว้างขวางในเวลานี้
จากการสำรวจตัวเลขการผลิตของสหกรณ์การเกษตรท่ายาง จำกัด จังหวัดเพชรบุรี สหกรณ์แห่งแรกและแห่งเดียวในขณะนี้ที่ผลิตกล้วยหอมทองส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่นโดยตรง โดยผ่านทางสหกรณ์โตโต้ของญี่ปุ่น พบว่า ตลาดกล้วยหอมทองเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยตลาดต่างประเทศมีปริมาณความต้องการบริโภคกล้วยหอมทองปีละไม่น้อยกว่า 180 ตัน ตลาดในประเทศปีละ 3,600 ตัน
คุณมานะ บุญสร้าง หัวหน้าฝ่ายการตลาดสหกรณ์การเกษตรท่ายาง จำกัด กล่าวว่า กว่าจะได้กล้วยหอมผิวสวย หวีใหญ่ และผลโตอย่างที่เห็น นอกจากเกษตรกรต้องควบคุมคุณภาพการเพาะปลูกแล้ว อีกปัจจัยสำคัญคือ กระบวนการเก็บเกี่ยว การเก็บรักษา การขนส่ง และการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า
สำหรับสหกรณ์การเกษตรท่ายาง จำกัด ส่งออกกล้วยหอมทองปลอดสารพิษไปยังประเทศญี่ปุ่น เป็นระยะเวลากว่า 24 ปี แล้วโดยมีการดำเนินงานที่เป็นระบบ เริ่มตั้งแต่การคัดเลือกสมาชิกเข้าร่วมโครงการ การวางแผนการผลิตให้แก่สมาชิก การจัดเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้และความชำนาญเข้าไปดูแลตั้งแต่การเตรียมดินสำหรับการเพาะปลูก จนถึงการเก็บผลผลิต รวมทั้งมีการประกันราคาผลิตผลให้กับเกษตรกร
ปัจจุบันอำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี มีพื้นที่ปลูกกล้วยหอมทอง 1,200 ไร่ สมาชิก 350 ราย ผลผลิตเฉลี่ยปีละ3,000- 4,000 ตัน โดยราคาที่สหกรณ์รับซื้อจากสมาชิกอยู่ที่กิโลกรัมละ 14 บาท หรือเครือละ170-180 บาท ซึ่งในแต่ละเครือจะมี 6-7 หวี หวีละ 12-14 ลูก ราคาประกันขั้นต่ำเฉลี่ยลูกละ 1 บาท 60 สตางค์ แต่ปัจจุบันราคารับซื้ออยู่ที่ลูกละ 2 บาท 50 สตางค์
สำหรับพื้นที่ 1 ไร่ เกษตรกรจะปลูกกล้วยได้ 400 ต้น แต่ละต้นให้ผลผลิต 1 เครือ หนักประมาณ 15 กก. ราคาประกันอยู่ที่ กก.ละ 14 บาท ปลูก 1 ไร่ทำรายได้ปีละ 84,000 บาท
และนี่คือตัวอย่างหนึ่งที่สหกรณ์อื่นๆจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการพืชผลทางการในชุมชนของตัวเองให้เกิดความยั่งยืน