ย้อนรอย “ดอยช้าง” จากแปลงฝิ่น เปลี่ยนเป็นถิ่นกาแฟ… คุณภาพดี

ย้อนกลับไปเมื่อกว่า 30 ปีก่อน “ดอยช้าง” เป็นแหล่งปลูกและจำหน่ายฝิ่นขนาดใหญ่ของไทย ทั้งยังขึ้นชื่อว่าเป็นฝิ่นคุณภาพดี เนื่องจากมีดินที่ดีและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ฝิ่นที่นี่จึงเป็นที่ต้องการของนายหน้าที่เข้ามาติดต่อรับซื้อ ชนิดที่มีเฮลิคอปเตอร์บินมารับถึงบนยอดดอยกันเลยทีเดียว

แม้ทางการพยายามกวาดล้าง พร้อมชี้ให้เห็นถึงโทษของสิ่งเสพติดชนิดนี้ แต่ก็ไม่เกิดผลเท่าที่ควร เนื่องด้วยภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูง เพาะปลูกพืชชนิดอื่นได้ยากลำบาก ผลผลิตไม่ดี และชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่มีความรู้มากพอ จึงไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่งและมีรายได้เพียงพอที่เลี้ยงดูครอบครัวได้

D1

นอกจากการปลูกฝิ่นที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากคนรุ่นก่อน ๆ เท่านั้น
แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้ชาวไทยภูเขาบนดอยช้าง ปลูกพืชชนิดอื่นทดแทนการปลูกฝิ่น ซึ่งมีการถ่ายทอดความรู้ด้านการเกษตรบนพื้นที่สูง พร้อมได้ทรงพระราชทาน ต้นกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้าให้แก่พี่น้องชาวไทยภูเขาบนพื้นที่สูงในจังหวัดทางภาคเหนือเมื่อปี 2526 นับจากนั้น ดอยช้างจึงเป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งปลูกกาแฟคุณภาพดีของประเทศไทย ทั้งยังมีชื่อชั้นติดอันดับโลกด้วย

Advertisement

คุณนาบี โกเมนรัตน์กุล บ้านเลขที่ 875 บ้านดอยช้าง ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ชาวเขาเผ่าลีซอ เป็นผู้หนึ่งที่ยึดการปลูกกาแฟมากว่า 20 ปี บนเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ มีต้นกาแฟอยู่ราว 400 ต้น ได้ให้ข้อมูลว่า ไร่กาแฟแปลงนี้ทำต่อกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อที่ปลูกเอาไว้ตั้งแต่สมัยที่เปลี่ยนดอยช้างจากแปลงฝิ่นให้มาเป็นถิ่นกาแฟ รวมอายุต้นก็ประมาณ 30 กว่าปีแล้ว ซึ่งเชื่อว่ายังสามารถให้ผลผลิตไปได้เรื่อย ๆ จนถึงรุ่นลูกรุ่นหลานอย่างแน่นอน เพราะกาแฟไม่มีโรคหรือแมลงมาสร้างความเสียหายเหมือนกับพืชชนิดอื่น ทั้งยังทนทานต่อภูมิประเทศได้เป็นอย่างดี ทว่าถ้าต้องการให้ได้ผลผลิตกาแฟปริมาณมากและมีคุณภาพดี ก็ต้องมีวิธีการจัดการดูแลที่ถูกต้องและเหมาะสมด้วย

12888764_978740458830214_5810313722131079188_o

“ช่วงแรก ๆ ของการปลูกกาแฟบนดอยช้าง ชาวบ้านยังไม่มีความรู้มากนัก เพียงแค่คิดว่าวิธีไหนที่ทำให้ได้ผลผลิตที่ดี ก็ทำตาม ๆ กันมา อย่างการใช้ปุ๋ยเคมี ก็ใส่ในปริมาณที่มากจนทำให้ดินเสื่อมสภาพ ทั้งยังไม่มีการปรับปรุงบำรุงดิน มีอินทรียวัตถุต่ำ ทำให้ช่วงแรกผลผลิตกาแฟของเกษตรกรไม่มากนัก แต่หลังจากกาแฟดอยช้างและกาแฟวาวีเริ่มเป็นที่รู้จัก มีโรงงานผลิตเมล็ดกาแฟเข้ามารับซื้อเป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้น ทำให้ผู้ปลูกปรับเปลี่ยนวิธีการ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น”

Advertisement

คุณนาบี บอกว่าแปลงปลูกกาแฟของตัวเอง เดิมก็มุ่งใช้ปุ๋ยเคมีจำนวนมาก เพื่อต้องการให้ได้ผลผลิตที่สูง ซึ่งแม้ปุ๋ยเคมีจะมีธาตุอาหารสำคัญที่ต้นกาแฟต้องการอย่างครบถ้วน แต่ทว่าไม่มีคุณสมบัติในการปรับปรุงบำรุงดิน ส่งผลให้เวลาผ่านไปดินเสื่อมคุณภาพ ผลผลิตลดลง จึงมีการใส่ปุ๋ยเคมีมากขึ้น ซึ่งต้นทุนก็สูงขึ้นตามกัน แต่หลังจากได้รับคำแนะนำจากโรงงานที่รับซื้อ ที่ต้องการทำให้กาแฟมีคุณภาพดีที่สุด ทำให้เข้าใจว่าการปลูกกาแฟไม่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมีมากขนาดนั้น หากแต่ต้องใส่ใจกับสภาพของดินมากกว่า ช่วง 10 ปีที่ผ่านมาจึงได้ปรับเปลี่ยนวิธีการปลูกใหม่มาใช้ปุ๋ยอินทรีย์เป็นหลัก

d4

“หลายปีที่ผ่านมาจะใช้ปุ๋ยคอก มูลโค มูลไก่ เป็นหลัก ซึ่งหาได้ง่ายในพื้นที่ ทั้งยังมีราคาที่ถูก รวมถึกเปลือกเมล็ดกาแฟ ก็นำมาใส่ในแปลงปลูกเพื่อเป็นปุ๋ยได้เช่นกัน วัสดุเหล่านี้บางครั้งไม่ต้องซื้อ แค่ลงทุนไปขนมาใส่เท่านั้น ทำให้ปัจจุบันต้นทุนการปลูกกาแฟค่อนข้างต่ำ เฉลี่ยไร่หนึ่งไม่ถึง 2,000 บาท/ปีด้วยซ้ำ ขณะที่ผลผลิตไร่หนึ่งไม่ต่ำกว่า 2 ตัน ทำให้มีรายได้ไม่น้อยกว่า 40,000 บาท/ไร่เลยทีเดียว”

ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้กาแฟมีผลผลิตที่ดีขึ้น คือ การตัดแต่งกิ่งก้าน ซึ่งทำให้เกิดการแตกกอมาใหม่ ส่งผลให้ได้ผลผลิตมากกว่าเดิม อย่างกาแฟที่ปลูกอยู่ อายุกว่า 30 ปีแล้ว ลำต้นมีขนาดใหญ่และแก่ จึงให้ผลผลิตได้ไม่มากนัก แต่เมื่อตัดแต่งแล้ว โดยตัดถึงโคนต้น ทำให้แตกหน่อใหม่เพิ่มขึ้นมาอีก 3-4 หน่อ ช่วยให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นมาเป็น 3 เท่า ในระยะเวลาแค่ 1 ปีเท่านั้น หรือหลังจากเก็บผลผลิตในฤดูกาลนี้แล้วเสร็จ ก็ตัดแต่งกิ่งที่แก่ หรือกิ่งก้านที่โทรมไม่เอื้อให้ผลผลิตที่ดีออก เลี้ยงกิ่งที่แตกออกมาใหม่ ก็ทำให้ได้ผลผลิตในฤดูถัดมามากขึ้นเช่นกัน แต่เกษตรกรส่วนใหญ่เสียดาย ไม่กล้าตัด ทำให้ไม่ได้ผลผลิตเท่าที่ควร

d2

 

“ปกติผลผลิตของกาแฟเริ่มเก็บส่งโรงงานได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งมีระยะเวลาประมาณ 4 เดือนเท่านั้น ทำให้มีช่วงเวลาที่เหลือพอที่ปลูกพืชอย่างอื่น ทั้งเชอร์รี่ แมคคาเดเมีย และพืชล้มลุกต่าง ๆ รวมถึงมีเวลาทำงานรับจ้าง ทำให้สามารถสร้างรายได้ให้อย่างต่อเนื่อง มีความมั่นคงในอาชีพ และมีรายได้เพียงพอที่เลี้ยงดูครอบครัวได้เป็นอย่างดี” คุณนาบี กล่าวทิ้งท้าย

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image