“วีระศักดิ์”หนุนรัฐบาลแบ่งงบฯให้ท้องถิ่น ช่วยต่อสู้ในระดับพื้นที่ได้เข้มข้น

นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา โพสต์ข้อความโดยระบุว่า กรณีตัวอย่างสองเรื่องที่ผมแชร์วันนี้

ชิ้นแรกเกิดที่อยุธยา ใกล้กรุงเทพมาก แต่สามารถพบเจอว่า หมอนวดตาบอดทั้งชายและหญิงเป็นกลุ่มกลางเมืองที่ยังเข้าไม่ถึงความช่วยเหลือเยียวยา

ไม่ว่าจะในฐานะลูกจ้างร้านนวดที่พึงได้รับสิทธิประกันสังคม หรือในฐานะผู้ประกอบอาชีพอิสระ

แต่เมื่อมองไม่เห็นจอมือถือ ไม่มีใครช่วยจิ้มช่วยกดให้

Advertisement

ก็จะเสียโอกาสอันควรจะเท่าเทียมไป

อีกกรณีเป็นทีมจิตอาสาดับไฟป่าที่แม่ฮ่องสอน ที่เวลานี้ข่าวการบาดเจ็บและความใจสู้มีน้ำใจทำเพื่อส่วนรวมถูกไฟข่าวโควิดกลบทับหายจ๋อยไปอย่างไม่มีคนรับรู้มากพอ

แปลว่าขณะนี้ข่าวสถานการณ์โควิดระบาดในต่างจังหวัดไปไกลกระทบถึงท้องถิ่นและชุมชนแล้ว

Advertisement

ผมจึงขอสนับสนุนให้รัฐจัดแบ่งงบอุดหนุนเฉพาะคราวจากร่างพรบ.งบที่โอนคืนจากส่วนราชการ และหรือจากงบพรก.เงินกู้หนึ่งล้านล้านบาทคราวนี้

แบ่งให้แก่ท้องถิ่นเพื่อให้ท้องถิ่นมีส่วนทำการต่อสู้ระดับพื้นที่ในระดับเข้มข้นมากได้

สนับสนุนท้องถิ่นในการเชื่อมกับกองทุนส่งเสริมสวัสดิการสังคม เคลื่อนสภาองค์กรชุมชนระดับตำบล ร่วมกับโรงพยาบาลในตำบลออกสนับสนุน อสม.และ อพปร. อาสาสมัครพัฒนาสังคม และเครือข่ายสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน บุกให้ทั่วในแต่ละพื้นที่

แล้วเราจะเจออะไรที่ต้องเร่งสนองตอบเยอะเลย..

นอกจากนี้ ผมขอสนับสนุนให้รัฐและประชาสังคมทำทิศทางบริหารร่วมใหม่ๆ เช่น ค้นหา”งานที่ควรจ้าง”
เพื่อเร่งสร้างงานสาธารณะในท้องถิ่น..ใช้เงินกู้ตามกฏหมายมาฟื้นฟูชุมชนและพัฒนาพื้นที่ โดยเน้นจ้างคนในถิ่นทำกิจกรรมประโยชน์ต่อส่วนรวมให้ท้องถิ่นสะอาดสอ้าน จัดการสิ่งแวดล้อมให้ดี

จะจ้างปลูกผักมาแบ่งรับประทานกันในชุมชน
จ้างขุดลอกหนองบึงและทางน้ำให้พร้อมรับหน้าฝนก็ยังได้

ในภาคอีสาน ท้องถิ่นอาจร่วมกันจัดหาเครื่องเจาะบ่อบาดาลมาสำรวจขุดบ่อบาดาลน้ำตื้น(ลึกไม่เกิน10เมตร ถ้าเจาะลึกมากไป อีสานจะเจอชั้นความเค็ม แต่เพราะน้ำเค็มมีความหนาแน่นสูงกว่า มันจึงอยู่ลึกกว่าระดับการเจาะน้ำบาดาลบ่อตื้น)

ในภาคเหนือ ควรจ้างทำแนวกันไฟในพื้นที่ที่ยังไม่เกิดไฟไหม้ป่า แต่ถ้าในพื้นที่มีไฟป่าอยู่แล้วก็ควรจ่ายค่าตอบแทนหรือซื้อประกันเสี่ยงภัยให้อาสาดับไฟป่าไปเลย..เพราะตอนนี้หลายจุดในภาคเหนือนั้น ภัยควันหนักหนากว่าภัยโควิดแล้ว

สถานศึกษาและสถาบันหลักสูตรพัฒนาบุคคลากรในทุกพื้นที่ รวมทั้งทางออนไลน์ ควรขยับจาก “ท่องจำสาระระหว่างอบรม”
ไปเป็น “ลงพื้นที่และทำจริงในการปฏิบัติงานบริการชุมชน”

ขยับเป้าองค์กรท้องถิ่นจากพัฒนาทั่วไปๆเป็น”ค้นหาผู้ขัดสน ตกหล่นที่สุดในพื้นที่ให้เจอก่อน” โดยใช้การทำงานกับชุมชน..ค้นทั่วในเขตพื้นที่

ในบางท้องถิ่น อาจ”สนับสนุน ถุงยังชีพ”ตามที่แต่ละชุมชนจะระบุความต้องการเพื่อให้อยู่แต่กับบ้าน หยุดเชื้อ ใครฝ่าฝืนข้อกำหนด จะได้รับผลทางชุมชนและสังคมตามแต่จะตกลงกันไว้ล่วงหน้า

ทัณฑสถานในพื้นที่ต่างๆขยับจาก “ผู้ต้องโทษสถานเบา ” มาเป็น”ผู้ต้องโทษทำประโยชน์สาธารณะ เพื่อคำนวนผลงานมาลดวันต้องโทษลง” จะพาออกมาทำงานสาธารณะที่ดูแลกันได้ หรือจะให้ช่วยเย็บหน้ากากสำหรับเด็ก ทำเฟซชีลด์ ( faceshield)ส่งสถานพยาบาลในพื้นที่หรือมอบให้แก่กันเองในที่คุมขัง
(ลดโอกาสติดเชื้อในพื้นที่ที่จำกัด)ก็จะดีมาก

ชวนนายจ้างขยับจากจำต้อง”ปลดลูกจ้าง”เป็นยินดี”เปลี่ยนภารกิจ ให้ลูกจ้าง โดยนายจ้างขอรับงานจ้างภารกิจสาธารณะชั่วคราวจากองค์กรส่วนท้องถิ่น เพื่อจะมีเงิน “จ้างลูกจ้างส่งมอบงานที่ยังพอทำได้” เช่นการช่วยสำรวจ ทำบัญชีครุภัณฑ์ราชการ การรับซ่อมเครื่องมือและเครื่องจักร หรือยานยนต์ของรัฐ การรับจ้างทำความสะอาดที่ทำการ โรงเก็บอุปกรณ์ แม้แต่ทำความสะอาดสถานที่เช่น ในโรงเรียนในพื้นที่หรือตลาด ใช้การเช็ดล้างฆ่าเชื้อโรคด้วยน้ำสบู่ การรับงานทาสี ขอบทางเท้า ทาสีสิ่งปลูกสร้างสาธารณะ ทาสีช่องจอดรถสำหรับผู้สูงอายุผู้พิการ การช่วยรื้อย้ายสิ่งทรุดโทรมในพื้นที่ ฯลฯ

ยิ่งลดคนตกงานได้เท่าไหร่

ยิ่งช่วยทำให้ท้องถิ่นนั้นน่าอยู่น่าดูได้เพียงใด

ยิ่งกระจายภารกิจบริการสาธารณะไปอยู่ใกล้บ้านผู้รับงานได้แค่ไหน

เศรษฐกิจในถิ่นก็จะค่อยๆดีขึ้น..
รายได้กลับกระจายเข้าครัวเรือนมากขึ้น..แม้สักเล็กน้อยก็ยังดี
เพราะคนมีงานได้ทำ
สภาพแวดล้อมชุมชนดีขึ้น

สังคมใส่ใจกันแน่นขึ้น
วินัยการอยู่ร่วมกันดีขึ้น

ถ้าเราสู้ไปด้วยกัน
ประเทศไทยต้องชนะ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image