รัสเซียปล่อยคำตอบโต้เป็นภาษาไทย แจงยิบสถานการณ์ยูเครน ซัดนาโตมองรัสเซียเป็นศัตรูก่อน

รัสเซีย ปล่อยคำตอบโต้ภาษาไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ยูเครน ซัดนาโตมองรัสเซียเป็นศัตรูก่อน ย้ำสิ่งที่ทำให้สถานการณ์ในยูเครนไม่มั่นคงนั้นอยู่ที่สหรัฐอเมริกาและประเทศสมาชิกนาโต (NATO) ทั้งหมด

เมื่อวันที่ 24 มกราคม สถานทูตรัสเซียประจำประเทศไทย เผยแพร่ข้อมูลทางเว็บไซต์ของสถานทูตชี้แจงและโต้กลับ กรณีสหรัฐออกแถลงการณ์เกี่ยวกับสถานการณ์ในยูเครน โดยระบุว่า

ตอบกลับเอกสารของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาในเรื่องข้อเท็จจริงกับเรื่องที่แต่งขึ้นโดยรัสเซียถูกบิดเบือนข้อมูลเกี่ยวกับยูเครน

“ข้อเท็จจริง” ที่อ้างขึ้นโดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ :

ข้อความเท็จจากถ้อยแถลงของวลาดิมีร์ ปูติน ว่าตำหนิผู้เคราะห์ร้าย ยูเครน จากการรุกรานของรัสเซีย การบอกว่ารัสเซียบุกยูเครนในปี 2014 และได้ยึดครองไครเมีย ควบคุมกองกำลังติดอาวุธในดอนบาส และขณะนี้ได้รวบรวมทหารมากกว่า 100,000 นาย ที่ชายแดนติดกับประเทศยูเครน ขณะที่ประธานาธิบดีปูตินขู่ว่าจะ “ตอบโต้มาตรการทางการทหาร” หากข้อเรียกร้องของเขาไม่เป็นไปตามที่ขอไว้

Advertisement

ในความเป็นจริง คือ

สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ในยูเครนไม่มั่นคงนั้นอยู่ที่สหรัฐอเมริกาและประเทศสมาชิกนาโต (NATO) ทั้งหมด ซึ่งให้การสนับสนุนการทำรัฐประหารในเดือนกุมภาพันธ์ 2014 ส่งผลให้ประธานาธิบดีและกลุ่มชาตินิยมได้เข้ามามีอำนาจ และด้วยความกลัวต่อความปลอดภัยของตนเอง ผู้ที่อยู่อาศัยในแหลมไครเมียและเขตดอนบาสจึงเลือกที่จะไม่อยู่ภายใต้รัฐบาลยูเครน ส่งผลให้ไครเมียรวมตัวกับรัสเซีย ทำให้ภูมิภาค Donetsk และ Lugansk ประกาศอิสรภาพและเคียฟได้เริ่มสงครามกลางเมืองกับ Donbass ซึ่งยังคงดำเนินต่อไปจนถึงทุกวันนี้

“ข้อเท็จจริง” ที่อ้างขึ้นโดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ :

Advertisement

รัฐบาลมอสโกสร้างสถานการณ์ในปัจจุบันด้วยการวางกองกำลังทางทหารมากกว่า 100,000 นายไว้ใกล้ชายแดนของประเทศยูเครน โดยในฝั่งยูเครนไม่ได้มีการกระทำในลักษณะเดียวกัน โดยหน่วยงานทางทหารและงานข่าวกรองของประเทศรัสเซียกำลังตั้งเป้าไปที่ประเทศยูเครนด้วยการบิดเบือนข้อมูลโดยมีความพยายามทำให้ยูเครนและเจ้าหน้าที่รัฐบาลยูเครนเป็นผู้ไม่หวังดีในความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน รัฐบาลรัสเซียพยายามหลอกให้โลกเชื่อว่าพฤติกรรมของยูเครนอาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งในระดับโลก และมีโน้มน้าวที่รัสเซียต้องคิดปฏิบัติการทางทหารรัสเซียในประเทศยูเครน รัสเซียตำหนิผู้อื่นในเรื่องความก้าวร้าวของตัวเอง และเป็นความรับผิดชอบของมอสโกที่จะยุติวิกฤตนี้อย่างสันติด้วยการลดระดับความรุนแรงและใช้วิธีการทางการทูต มอสโกบุกยูเครนในปี 2014 ครอบครองไครเมียและยังคงจุดชนวนความขัดแย้งในยูเครนตะวันออก สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นรูปแบบของพฤติกรรมของรัสเซียที่ใช้ในการบ่อนทำลายอำนาจอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศต่างๆ ในภูมิภาค เช่น การบุกรุกและครอบครองบางส่วนของจอร์เจียในปี 2008 และความล้มเหลวในการทำตามคำมั่นสัญญาในปี 1999 ที่จะถอนทหารและยุทโธปกรณ์ออกจากมอลโดวา ซึ่งกองกำลังเหล่านั้นยังคงมีอยู่โดยไม่ได้รับความยินยอมจากรัฐบาลมอลโดวา

ในความเป็นจริง คือ

ทางการเคียฟและฝ่ายตะวันตกที่คบหาดูใจกันกำลังพยายามวาดภาพรัสเซียว่าเป็นฝ่ายที่ขัดแย้งเองเขตดอนบาส อย่างไรก็ตาม ในย่อหน้าที่ 2 ทั้งสองฝ่ายยอมรับเคียฟ โดเนตสค์ และลูกาสค์เป็นคู่กรณีในความขัดแย้งที่เกี่ยวข้องกับประเด็นทางการทหาร และจะมีการกล่าวถึงเพิ่มเติมเกี่ยวกับแง่มุมอื่นๆ ทั้งหมด ในข้อตกลงนั้นรัสเซียได้ร่วมกับ องค์การ OSCE ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางใน Contact Group (CG) และรูปแบบ Normandy ควบคู่ไปกับเยอรมนีและฝรั่งเศส

สหรัฐอเมริกาและประเทศนาโต (NATO) กำลังทำเช่นนั้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของประชาคมระหว่างประเทศจากการปรับใช้ทางทหารของตนเองในยูเครน กองกำลังติดอาวุธของยูเครนและกลุ่มพันธมิตรกำลังสร้างกิจกรรมทางทหารในบริเวณใกล้เคียงกับพรมแดนรัสเซียและดำเนินการซ้อมรบทางทหารขนาดใหญ่ในระดับระหว่างประเทศ ในปีนี้มีการวางแผนที่จะจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธทั้งหมด 10 กลุ่ม ซึ่งได้รับการจัดตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมายเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2564 เกี่ยวกับการรับเข้าประเทศยูเครนของหน่วยกองกำลังติดอาวุธต่างชาติในปี 2565 จะทำให้เกิดการขยายใหญ่ขึ้นของขนาดการซ้อมรบอย่างมีนัยสำคัญ ในความเป็นจริง จำนวนผู้เข้าร่วมซ้อมรบจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และจำนวนอุปกรณ์ทางทหารที่เกี่ยวข้องจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า

การกระทำดังกล่าวขัดแย้งกับวรรค 10 ในเรื่องความซับซ้อนของมาตรการ ซึ่งเขียนไว้ให้มีการถอนกองกำลังติดอาวุธต่างประเทศทั้งหมดออกจากดินแดนของประเทศยูเครน

คำกล่าวที่ว่ารัสเซียได้ “ยึดครอง” ส่วนหนึ่งของดินแดนจอร์เจียและปฏิเสธที่จะถอนทหารออกจากมอลโดวาถือเป็นการโกหกโดยเด็ดขาด ความเป็นอิสระของ Abkhazia และ South Ossetia เป็นผลมาจากนโยบายเชิงรุกของทบิลิซีและกองทหารรัสเซียอยู่ที่นั่นอย่างถูกต้องตามกฎหมายตามข้อตกลงทวิภาคีกับประเทศเหล่านี้เพื่อป้องกันการรุกรานของจอร์เจีย ความสมบูรณ์ของการถอนทหารจาก Transnistria ขึ้นอยู่กับการยุติความขัดแย้งระหว่างChișinău และ Tiraspol ซึ่งบันทึกไว้ในเอกสารของ OSCE ที่นำมาใช้โดยสหรัฐอเมริกาเองก็มีส่วนร่วม

“ข้อเท็จจริง” ที่อ้างขึ้นโดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ:

การวางกำลังทหารของรัสเซียมากกว่า 100,000 นาย รวมถึงรูปแบบการรบและการเสริมทัพในการสู้รบและการวางแผนใช้อาวุธโดยไม่มีคำอธิบายไปยังชายแดนของประเทศที่รัสเซียเคยรุกรานมาก่อนและยังคงยึดครองเพียงบางส่วนโดยเป็นเพียงการหมุนเวียนกองกำลังของประเทศรัสเซียเอง นี่เป็นภัยคุกคามใหม่ของรัสเซียที่มีต่ออำนาจอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของยูเครน การสร้างเรื่องขึ้นมานั้นมาพร้อมกับการบิดเบือนข้อมูลที่ออกแบบมาเพื่อบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลยูเครน และได้สร้างข้ออ้างที่เกิดจากการรุกรานจากรัสเซียต่อไป

ในความเป็นจริง คือ

ประเทศรัสเซียได้ทำการซ้อมรบทางทหารในอาณาเขตของตนเป็นประจำอยู่แล้วและมีการตรวจสอบกองทหารอยู่เสมอ ในขณะเดียวกัน สหรัฐส่งกองกำลังติดอาวุธและอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ประเทศต่างๆ ในยุโรปตะวันออกซึ่งอยู่ห่างจากพรมแดนของประเทศสหรัฐอเมริกาออกไปหลายพันไมล์ ซึ่งจะกลายเป็นบ่อนทำลายความมั่นคงของยุโรปและเสถียรภาพทางยุทธศาสตร์ การส่งอาวุธและที่ปรึกษาทางทหารไปยังยูเครน สหรัฐกำลังสนับสนุนให้รัฐบาลเคียฟดำเนินการบางอย่างต่อประชาชนในเขต Donbass

“ข้อเท็จจริง” ที่อ้างขึ้นโดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ:

สหรัฐและรัสเซียเป็นภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยอาวุธเคมี สหรัฐอเมริกาไม่ใช้อาวุธเคมีตามข้อตกลงดังกล่าวนี้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัฐบาลรัสเซียได้ใช้อาวุธเคมีสองครั้งในการโจมตีและลอบสังหารฝ่ายตรงข้าม รวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในดินแดนต่างประเทศ รัสเซียได้จุดชนวนความขัดแย้งในยูเครนตะวันออก ขณะที่สหรัฐได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมมากกว่า 351 ล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2014 แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการรุกรานของมอสโก รัสเซียกำลังใช้ถ้อยแถลงจากเจ้าหน้าที่ระดับสูง ตลอดจนการบิดเบือนข้อมูลและการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อจงใจเผยแพร่คำโกหกโดยเจตนา เพื่อสร้างข้ออ้างในการปฏิบัติการทางทหาร

ในความเป็นจริง คือ

เราทุกคนรู้ดีว่าทางการสหรัฐใช้ข้อมูลในการบิดเบือนเพื่อเป็นข้ออ้างในการแทรกแซงทางทหารในรัฐอิสระอื่นๆ มันเพียงพอที่จะทำให้นึกถึง คำพูดของ พล.อ.โคลิน พาวเวลล์ ที่รู้จักกันดี ซึ่งได้กลายเป็นข้ออ้างในการรุกรานอิรักของสหรัฐ ปริมาณความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่สหรัฐ กล่าวถึงเปรียบเสมือนหยดน้ำในมหาสมุทรเมื่อเทียบกับความช่วยเหลือมหาศาลที่สหพันธรัฐรัสเซียมอบให้กับผู้ที่อยู่อาศัยในเขต Donbass

“ข้อเท็จจริง” ที่อ้างขึ้นโดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ:

ไม่มีรายงานที่เชื่อถือได้ว่าพลเมืองที่พูดภาษารัสเซียหรือชาวรัสเซียถูกคุกคามโดยรัฐบาลยูเครน อย่างไรก็ตาม มีรายงานที่น่าเชื่อถือได้ว่าในไครเมียและดอนบาสที่ถูกยึดครองโดยรัสเซีย ชาวยูเครนต้องเผชิญกับแรงกดดันต่อวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ประจำชาติของพวกเขา และพวกเขานั้นได้อาศัยอยู่ในสภาวะที่โดนปราบปรามและหวาดกลัว ในไครเมียรัสเซียบังคับให้ชาวยูเครนยึดสัญชาติรัสเซียหรือไม่เช่นนั้นจะต้องสูญเสียทรัพย์สิน การเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ และการทำงาน บรรดาผู้ที่แสดงความต่อต้านการยึดครองหรือการควบคุมของรัสเซียอย่างสันติต้องเผชิญกับการจำคุกอย่างไม่มีเหตุผล ตำรวจบุกเข้าไปในบ้านของพวกเขาและได้รับโทษจากการเลือกปฏิบัติ และในบางกรณี มีการทรมานจิตใจและการละเมิดร่างกาย ชนกลุ่มน้อยทางศาสนาและชาติพันธุ์ตกเป็นเป้าหมายของ “พวกหัวรุนแรง” และ “ผู้ก่อการร้าย”

ในความเป็นจริง คือ

มีการละเมิดสิทธิของประชาชนที่พูดภาษารัสเซียในประเทศยูเครนมีจำนวนเยอะมาก เรียกได้ว่าเป็นจำนวนหลายล้านคน ในยูเครนมีสัดส่วนผู้ที่โดยละเมิดอย่างมหาศาล ทางการของประเทศยูเครนได้นำกฎหมายการเลือกปฏิบัติเกี่ยวกับภาษา การศึกษา ที่เรียกว่า “ชนพื้นเมือง” แทนที่ภาษารัสเซียในทุกด้านของชีวิต ในเดือนสิงหาคม 2564 ประธานาธิบดียูเครน วลาดีมีร์ เซเลนสกี ได้เชิญชาวรัสเซียออกนอกประเทศอย่างเปิดเผย ในเดือนมิถุนายน 2564 ทาราส เครเมน ซึ่งเป็นคณะกรรมาธิการเพื่อการคุ้มครองภาษาของรัฐได้กล่าวว่าผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายด้านภาษา “อาจจะต้องออกจากประเทศไป”

เป็นเรื่องน่าตกใจที่ทำไมสหรัฐอเมริกาซึ่งมักจะยืนหยัดเพื่อสิทธิมนุษยชน ไม่สังเกตเห็นการเลือกปฏิบัติต่อพลเมืองยูเครนที่พูดภาษารัสเซีย อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่ถือว่าคนรัสเซีย?

สำหรับสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในแหลมไครเมีย รวมถึงสถานการณ์ของชนกลุ่มน้อยในประเทศนั้น ไม่เพียงแต่ดีขึ้นหลังจากการคืนคาบสมุทรไครเมียไปยังการดูแลของประเทศรัสเซียเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดความแตกต่างในเชิงคุณภาพอีกด้วย นโยบายของสหพันธรัฐรัสเซียตรงกันข้ามกับนโยบายของหน่วยงานก่อนหน้าและรัฐบาลยูเครนปัจจุบัน โดยรัสเซียที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อรักษาพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของแหลมไครเมีย เราเชื่อมั่นว่าประเทศตะวันตกนั้นจงใจบิดเบือนข้อมูลเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาในไครเมีย เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของประชาคมระหว่างประเทศจากสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนที่เห็นได้ชัดในยูเครน

“ข้อเท็จจริง” ที่อ้างขึ้นโดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ:

ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้พูดคุยกับประธาธิบดีปูตินสองครั้ง และเจ้าหน้าที่สหรัฐได้จัดการประชุมในระดับสูงตามมาอีกหลายครั้ง และได้โทรหารัสเซียและประเทศอื่นๆ ในยุโรป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามทางการทูตในการแก้ปัญหาสถานการณ์อย่างสันติ

ในความเป็นจริง คือ

หากโยงไปยังสิ่งที่เรียกว่า “ความพยายามทางการทูต” ซึ่งฟังดูเหมือนความหน้าซื่อใจคดและไม่มีความน่าเชื่อถือในคำพูด ตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2564 นั้น เราได้ส่งร่างสนธิสัญญาว่าด้วยการรับประกันความปลอดภัยและข้อตกลงเกี่ยวกับมาตรการเพื่อความมั่นคงให้กับทางวอชิงตันและกลุ่มประเทศสมาชิกนาโต้ (NATO) ได้อ่านอย่างเป็นทางการ ทางอเมริกันได้พยายามลากความชัดเจนในเรื่องสำคัญๆ ออกไป ข้อเสนอในระดับผู้เชี่ยวชาญและทางออกในรูปแบบต่างๆ แทนที่จะหยุดและเน้นไปที่การตอบคำถามสำคัญในเอกสารที่รัสเซีย ส่งไป ทางทำเนียบขาวและพันธมิตรชาติตะวันตกได้สร้างข้อมูลในทางลบอย่างมากและสร้างการโฆษณาชวนเชื่อที่แสดงให้เห็นว่าประเทศของเราเป็นผู้รุกราน เป็นศัตรูของชาติยุโรปที่มีอารยธรรมและยังเป็นภัยคุกคามต่อพวกเขาและต่อความมั่นคงระหว่างประเทศอีกด้วย โดยทั้งหมดนี้ได้ออกมาพร้อมๆ กับการข่มขู่อย่างต่อเนื่องของการคว่ำบาตรที่จะเจ็บปวดและรุนแรง ซึ่งได้ออกแบบมาเพื่อทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศของรัสเซียต้องมีบาดแผลและสร้างความท้าทายต่อระบบเศษฐกิจของรัสเซีย ในความเป็นจริงมีการตีพิมพ์เอกสารจากกระทรวงการต่างประเทศเพื่อเป็นแนวทางก่อนการเจรจาระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหพันธรัฐรัสเซีย Sergey Lavrov กับรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา Anthony Blinken ที่จัดขึ้นที่เจนีวา สามารถทำได้เท่านั้น โดย Sergey Lavrov รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซียได้อธิบายรายละเอียดและแนวทางของรัสเซียในระหว่างการแถลงข่าวหลังจากการเจรจาเรื่องการรับประกันความปลอดภัยได้สิ้นสุดลง (ตามลิงก์– https://www.mid.ru/ru/foreign_policy/news/1795493).

“ข้อเท็จจริง” ที่อ้างขึ้นโดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ:

นาโต (NATO) เป็นพันธมิตรที่มีจุดประสงค์เพื่อการป้องกันและปกป้องประเทศสมาชิก

ในความเป็นจริง คือ

ประเทศพันธมิตรทำให้แย่ลงด้วยการกระทำที่ผิดกฎหมายต่อยูโกสลาเวียจากมุมมองของกฎหมายระหว่างประเทศ มีการรุกรานจากประเทศสมาชิก NATO ในอิรักและอัฟกานิสถาน และกลุ่มพันธมิตรนาโตได้เข้ามามีส่วนร่วมในการทำลายล้างประเทศลิเบียอย่างป่าเถื่อน นโยบายดังกล่าวไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ “การป้องกัน” ที่กล่าวถึงเลย

หากอ้างถึงคำแถลงของประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐรัสเซียนายวลาดีมีร์ ปูติน ในปี 2545 เกี่ยวกับลักษณะการป้องกันของนาโตที่ได้ถูกหยิบยกออกไปและอ้างถึงช่วงเวลาที่รัสเซียและนาโตกำลังจัดทำแผนเพื่อพัฒนาความร่วมมือ แต่การที่เปลี่ยนนโยบายเป็นเชิงรุกที่มีต่อรัสเซียและการขยายตัวไปทางทิศตะวันออกของนาโต (NATO) นั้นได้นำไปสู่การทำลายล้างความตั้งใจที่เคยเกิดขึ้นเหล่านี้

“ข้อเท็จจริง” ที่อ้างขึ้นโดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ:

ชาติตะวันตกไม่เคยให้คำมั่นสัญญาในการไม่ขยายสมาชิกนาโต (NATO)

ในความเป็นจริง คือ

เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2533 ระหว่างการประชุมกับรัฐมนตรีต่างประเทศของสหภาพโซเวียต Eduard Shevardnadze และรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ James Baker ได้ประกาศเรื่องการรับประกันว่าจะไม่มีการขยายเขตอำนาจของนาโต (NATO) หรือการขยายอิทธิพลของนาโตไปทางตะวันออก เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2533 รัฐมนตรีต่างประเทศของเยอรมนี Hans-Dietrich Genscher ได้ให้คำมั่นกับรัฐมนตรีต่างประเทศของโซเวียตว่าจะไม่ขยายอิทธิพลไปทางตะวันออก และในวันเดียวกัน นายกรัฐมนตรีของเยอรมนี Helmut Kohl ได้ส่งเรื่องนี้เพื่อยืนยันให้ Mikhail Gorbachev รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ James Baker กล่าวไว้เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2533 ว่า รัฐบาลวอชิงตันสนับสนุนให้เยอรมนีรวมเป็นหนึ่งเดียวและรวมเยอรมนีไว้เป็นสมาชิก NATO และพร้อมจะตรวจสอบให้แน่ใจว่ากองกำลังของพันธมิตรจะไม่เคลื่อนไปทางตะวันออก การรับรองทั้งหมดเหล่านี้สามารถพบได้ในบันทึกการประชุม ซึ่งเปิดให้สาธารณชนทั่วไปดูได้

“ข้อเท็จจริง” ที่อ้างขึ้นโดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ:

การขยายอิทธิพลของนาโต (NATO) นั้นไม่ได้เกี่ยวโดยตรงกับรัสเซีย

ในความเป็นจริง คือ

กว่า 20 ปีที่ผ่านมา กองกำลังของนาโตได้มุ่งมั่นในการขยายอิทธิพลไปทางตะวันออก เพิ่มความก้าวหน้าของชาติพันธมิตรมุ่งตรงไปยังพรมแดนรัสเซียนั้นได้กระทำควบคู่ไปกับการสร้างและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางทหาร พัฒนาการขนส่งให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกด้วย การเคลื่อนย้ายกองกำลังขนาดใหญ่ การติดตั้งขีปนาวุธในโรมาเนีย การสร้างระบบการยิงขีปนาวุธในโปแลนด์ การสร้างโรงจัดเก็บอุปกรณ์ทางการทหารถูกสร้างขึ้นในประเทศยุโรปตะวันออกที่เป็นสมาชิกของนาโต มีการจัดเตรียมกองกำลังผสมในประเทศเหล่านิ้ ซึ่งถือว่าเป็นการระเมิดข้อตกลง หากแต่ไม่ใช่เป็นจดหมาย แต่เป็นเจตนารมณ์ของการทำงานร่วมกันของรัสเซีย-นาโตในปี 2540

จำนวนเรือรบของมหาอำนาจนอกภูมิภาคได้มุ่งหน้าสู่ทะเลดำได้มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้น่านน้ำกลายเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่ไม่มั่นคง ทะเลบอลติกที่เคยสงบและได้กลายเป็นเวทีสำหรับการเผชิญหน้าทางทหาร เที่ยวบินโดยเครื่องบินสอดแนมของประเทศ NATO ได้กลายเป็นภัยคุกคามต่อการจราจรทางอากาศของพลเรือน

พันธมิตรนาโต (NATO) ได้ดำเนินการฝึกซ้อมทางทหารใกล้พรมแดนของเราอย่างต่อเนื่อง ปีที่แล้วเพียงปีเดียว มีการซ้อมรบประมาณ 120 ครั้ง ในระหว่างที่มีการซ้อมรบ โดยมีนัยว่ารัสเซียนั้นได้กลายมาเป็นศัตรูตามสมมุติฐานที่ตั้งขึ้น

นาโต (NATO) กำลังดำเนินตามนโยบายที่ก้าวร้าวอย่างยิ่ง และกำลังจ้องดูฟินแลนด์ สวีเดน ยูเครน และจอร์เจีย ในขณะเดียวกันก็พยายามขยายอิทธิพลในเอเชียกลาง นอกจากนี้ยังสร้างอาวุธในพื้นที่ยุคหลังโซเวียตที่อาจก่อให้เกิดอันตรายทางชีวภาพ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image