‘ไพรวัลย์’ ชี้พูดให้จริงเข้าไว้ หากรู้สึกว่าไม่ ให้ตอบตรงๆ พร้อมย้ำกับตัวเอง เพื่อนไม่ใช่คนที่ชวนกินข้าวแล้วคุยแต่เรื่องธุรกิจ

‘ไพรวัลย์’ เคลื่อนไหว บอกพูดให้จริงเข้าไว้ หากรู้สึกว่าไม่ ให้ตอบตรงๆ พร้อมย้ำกับตัวเอง เพื่อนไม่ใช่คนที่ชวนกินข้าวแล้วคุยแต่เรื่องธุรกิจ เมื่อมีผลประโยชน์คนก็จะเข้าหา ต้องเตือนตัวเองให้ระวังคนมากอบโกย

เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 หลังจากที่ สมปอง นครไธสง หรืออดีตพระมหาสมปอง ซึ่งสนิทกับไพรวัลย์ วรรณบุตร สมัยที่เป็นพระอยู่วัดสร้อยทองด้วยกัน และต่อมาได้ทยอยลาสิกขาออกมาเพื่อดำเนินชีวิตของตนเองนั้น ล่าสุด ก่อนหน้านี้มีดราม่ากับไพรวัลย์ และวันนี้เป็นดราม่าระหว่างเจ๊ติ๋ม ทีวีพูล ที่ออกมาแถลงข่าวกรณีที่ทิดสมปองได้ออกจากบ้าน และเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น และล่าสุด ทิดสมปองก็ออกมาไลฟ์สดชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น

อ่านข่าว: ติ๋ม ทีวีพูล อวยพรทิดสมปอง หลังเก็บของออกจากบ้าน ให้โชคดี-อโหสิ แต่ตัดขาดไม่ขอร่วมงานอีก

‘สมปอง’ ไลฟ์สด ตอบทุกข้อกล่าวหาเจ๊ติ๋ม ยันไม่ยุ่งธุรกิจสีเทา ไม่หิวเงิน เป็นหนี้ต้องทำงานชดใช้

ล่าสุด ไพรวัลย์ วรรณบุตร ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยรอบแรกระบุว่า “พูดให้จริงเข้าไว้ และหากรู้สึกว่า ไม่ ให้ตอบตรงๆ ว่า ไม่ ตามที่รู้สึกอย่างนั้น”

Advertisement

และต่อมาก็โพสต์เรื่องราวเกี่ยวกับเพื่อนอีกว่า “#ไพรวัลย์เธอมีเพื่อนแล้วหรือยัง

ได้พบได้เจอ ได้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง แล้วก็พลันให้นึกถึงคำพูดของพี่สาวคนหนึ่ง พี่สาวที่น่ารักมากๆ สำหรับผม เมื่อไม่กี่วันมานี้ เราไปทานข้าวกัน เธอถามผมขึ้นมาประโยคหนึ่ง เป็นประโยคสั้นๆ แต่ทำให้ผมต้องกลับมานั่งคิดตามอยู่หลายวันเกาะ

เธอถามผมว่า ‘ไพรวัลย์ ตั้งแต่สึกมา ตอนนี้เธอมีเพื่อนจริงๆ สักคนหรือยัง’

Advertisement

ผมตอบเธอไปแบบคนสนิทที่หยอกล้อกันว่า ‘มีเยอะแยะนะแม่ หนูมีคนรู้จักตั้งเยอะ เขาชวนหนูไปกินข้าว ไปทำนั่นทำนี่ แบบนี้เรียกเพื่อนได้ไหม’

พี่สาวรีบพูดสวนผมขึ้นมาทันทีว่า ‘นั่นไม่ใช่เพื่อนนะไพรวัลย์ เพื่อนต้องไม่ใช่คนที่ชวนเธอไปกินข้าว จากนั้นก็คุยแต่เรื่องธุรกิจ ตั้งแต่คำแรกจนถึงคำสุดท้าย เพื่อนไม่ใช่คนที่เห็นว่าเธอเป็นตัวเงินตัวทองสำหรับเขา ไม่ใช่คนที่มองว่า เธอมีมูลค่า เพราะเธอยังทำเงินให้เขาได้ ตอนนี้เธอมีเพื่อนหรือยัง’

อืม น่าคิดมากนะ ในวันที่เราเป็นที่ตั้งของผลประโยชน์ ผู้คนจะยังเข้ามาหาเรา พูดดีกับเรา ปฏิบัติดีต่อเรา หรือแม้แต่เสนอสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้เรา ในความเป็นเช่นนี้ มีสิ่งหนึ่งที่เราจำต้องย้ำเตือนตัวเองให้มากๆ นั้นก็คือว่า ทุกคนอาจมีความรัก พวกเขาจึงเดินเข้ามาในชีวิตของเรา แต่ความรักที่ว่านี้ อาจไม่ใช่ความรักในตัวเราอย่างที่เราเข้าใจ มันเป็นความรักในผลประโยชน์ที่เรามี ผลประโยชน์ที่ทุกคนเดินเข้ามา เพื่อตักตวงและกอบโกยมันไปจากเรา ผมควรต้องเตือนตัวเองให้มากๆ ในเรื่องนี้

ชีวิตไม่สามารถอยู่ได้ หากตัวเราปราศจากผลประโยชน์ร่วมกันกับคนอื่นอย่างสิ้นเชิง เราพึ่งพาเขา เขาพึ่งพาเรา จึงอยู่ได้ แต่เพราะเป็นอย่างนี้แหละ เราจึงต้องมีสติและเรียนรู้ที่จะระมัดระวังตัวเมื่อต้องปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นให้มากๆ

เราควรตอบรับเฉพาะแค่ในสิ่งที่เราตอบรับได้ ทำงานให้เท่าที่เราอยากจะทำ รับฟังความเห็นจากคนอื่นที่เสนอแนะ แต่อย่าเชื่อพวกเขา ฟังเสียงตัวเองให้มาก เก็บเฉพาะสิ่งที่มีประโยชน์มาทบทวน อย่าเกรงใจคนอื่น จนความเกรงใจนั้นทำให้ตัวเองต้องลำบากในภายหลัง อย่าทำเพื่อใคร ถ้าไม่เต็มใจหรือรู้สึกว่าอยากจะทำ

ที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะตอนไหนก็ตาม หากรู้สึกว่ากำลังถูกเอาเปรียบ จงรีบแสดงออกตรงๆ จงเปิดเผย และออกห่างใครก็ตามที่เอาเปรียบเรา จงยอมให้คนอื่นเกลียด แต่อย่ายอมให้เขาเอาเปรียบและรังแกเราเด็ดขาด

งานจะทำให้เรามีเงิน แต่ถ้าเราเห็นแก่เงิน จนไม่เลือกงาน หรือเลือกคนที่จะทำงานด้วย สุดท้าย ตัวเราเองนั่นแหละที่จะไม่ได้อะไรจากการทำงานเลย งานที่ทำด้วยความทุกข์หรืองานที่ทำด้วยความรู้สึกว่าไม่อยากทำ มักจะนำความขาดทุนมาให้ มากกว่าที่จะตอบแทนด้วยกำไรอันเป็นความสุข

กี่ครั้งแล้ว ที่เราถอนใจและอ่อนแรง กี่ครั้งแล้วที่เราฝืนยิ้มให้กับใครก็ไม่รู้ ที่เราไม่ได้รู้สึกสนิทใจกับเขาจริงๆ
‘…ไพรวัลย์ เธอต้องมีเพื่อน แต่ตอนนี้ฉันว่าเธอยังไม่มี…’ พี่สาวคนนั้นพูดกับผม”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image