ผู้เชี่ยวชาญชี้ ภาพคนตกเรือในโซเชียลแค่แสงไฟ เผยจีพีเอสเทียบเวลาเรือวิ่ง
เมื่อวันที่ 7 มีนาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ยังคงเป็นกรณีที่หลายคนสงสัยถึงการเสียชีวิตของ แตงโม-นิดา ที่หลายฝ่ายยังคงตั้งข้อสังเกตว่าเป็นอุบัติเหตุจริงหรือไม่ โดยมีการเรียกพยาน ผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมสอบปากคำจำนวนไม่น้อย
ล่าสุด รายการ โหนกระแส นายกิตติภัฏ ธนาสนธิราช ผู้เชี่ยวชาญด้านเรือ ได้ให้ข้อมูลเส้นทางการเดินทางผ่านจีพีเอส โดยว่า สำหรับจีพีเอสจะอัพเดต 1 วินาที 10 ครั้ง จากภาพดาวเทียม จีพีเอส การ์มิน จากอเมริกา รับภาพดาวเทียม 12 ดวง ขยายภายใน 1 วินาที ถ้าเรือมีการเคลื่อนไหว เขาจะอัพเดตให้เป็นจุดๆ สำหรับความแม่นยำนั้นจะรู้ได้เลย ไม่ว่าจะจอด กลับเรือ จอดกี่นาที เร่งเครื่องที่เท่าไหร่ ความเร็วที่เท่าไหร่ จอดตรงไหน อย่างไร ซึ่งทุกอย่างอยู่ที่พนักงานสอบสวนหมดแล้ว
กรณีเรือของแตงโม นิดา นั้น นายกิตติภัฏกล่าวว่า จากจีพีเอสจะรู้ว่าเติมน้ำมัน จอดอย่างไร กลับเรือ กินข้าว คำนวณเวลาได้หมด มีการบอกหัวเรือไปทางไหน โดยพบว่า ความเร็วสูงสุดเรือลำนี้เกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือว่าเร็ว อยู่ในช่วงจังหวะออกตัว ขึ้นเป็น 10 นอต เป็นครั้งเดียว แถวสะพานพระราม 6 ซึ่งไม่ใช่จุดตก แต่เวลาใกล้เคียงกับจุดตก ช่วงนั้นมีจังหวะหนึ่งที่เทกเร็วมาก
เมื่อถามว่าการเทกเร็วนั้นอาจจะมีอีกคนมาขับ นายกิตติภัฏกล่าวว่า เป็นไปได้หมด ก่อนที่จะเทกเขาจะต้องมีการชะลอความเร็วก่อน ซึ่งอยู่ประมาณ 3 นอต คือ 1.85 คูณไป อยู่ที่ 3-4 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็คือไปเรื่อยๆ และเทกออกไป ถือว่าช้ามาก คล้ายว่าเรือจะไหลตามน้ำแล้ว ผมดูได้เลยว่าที่โซเชียลเอามาเป็นแสงไฟที่สะท้อนน้ำ น้ำที่วิ่งคือทางน้ำท้ายเรือ เพราะเรือเคลื่อนที่อยู่ มองดีๆ จะเป็นแสงไฟ เนื่องจากว่าริมฝั่งจะมีแสงไฟสาดมาทางน้ำ เป็นการหักเหของแสงไฟในน้ำ เขามุ่งหน้าไปทางทิศใต้ ก่อนจะมีภาพที่น้องเขาถ่ายรูป ทางพนักงานสืบสวนก็เอาไปหักล้างได้
“ที่ดูในโซเชียลเขาบอกเป็นสะพาน ผมได้กดเทียบตอนเรือจริง ผมว่าไม่ตก เพราะว่าหลังจากนั้นมาเขายังถ่ายรูปอยู่ เอามาประกอบได้ มีเวลาบอกเป็นวินาที”
ส่วนจากที่มีการนำเอาไทม์ไลน์มาเปิดเผยก่อนหน้านี้นั้น นายกิตติภัฏกล่าวว่า ไทม์ไลน์ที่มาออกก็ค่อนข้างใกล้เคียงจีพีเอส อยู่ที่โทรศัพท์เขาเรตเท่าไหร่ แต่ในจีพีเอสเชื่อว่าผิดพลาดน้อยมาก อาจจะห่างกันแค่เป็นวินาที
ด้านประเด็นเรื่องการดูดของน้ำนั้น กรรชัยได้ถามว่าการดูดของน้ำ ก่อนหน้าที่มีการพูดว่า ถ้าเป็นเรือลำนี้ หากวิ่งด้วยความเร็วจะดีดออก ถ้าช้าจะดูดเข้านั้น คิดเห็นอย่างไร นายกิตติภัฏกล่าวว่า ภาษาเรือเรียกว่าน้ำจะแข็ง เพราะเรือมีความเร็ว ทุกอย่างจะถูกดันไปข้างหลังเพื่อผลักเรือไปข้างหน้า ถ้าตกจากด้านหลังเรือจะหนีกับคนจากแรงดันน้ำ ภาษาเรือคือน้ำจะแข็ง เหมือนคนเล่นเซิร์ฟ หากเรือขับช้าก็ต้องดูว่าช้าที่เท่าไหร่ ก็จะมีแรงดันใบพัดอยู่ ก็จะผลักอยู่ดี ถ้าเรือยังวิ่ง น้อยมากจะถูกดูดเข้าไป เพราะทุกอย่างจะถูกผลักหมด
“ขณะที่บาดแผล ทั้ง 2 ข้าง ใบพัดเรือ ที่ตรงกับรอยแผลที่ขาทุกรอย อันนี้เทียบกับพนักงานสอบสวน ผมทำให้ดูโดยเอาขาหมูโยน และทำทุกทางให้ใบพัดไปโดนขาหมู ถ้าเกิดว่าโอกาสโดนคือเรือต้องหยุด น้ำข้างหลังคลื่นจะผลักเข้ามาหาเรือ กรณีแตงโม ต้องดูไทม์ไลน์ของการหยุดของเรือ” นายกิตติภัฏกล่าว
