‘หนุ่ย พงศ์สุข’ เล่าเรื่อง ‘คำขอโทษ’ สิ่งที่ทำได้-ไม่มีใครเสียหน้า แห่แชร์พรึบ

หนุ่ย พงศ์สุข เล่าเรื่องผิดใจในร้านอาหาร การบีบแตรใส่ ถูกรถไล่ตาม และ ‘คำขอโทษ’ เรื่องทำได้-ไม่มีใครเสียหน้า

เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ หนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ พิธีกรและผู้ผลิตคอนเทนต์ชื่อดัง โพสต์ข้อความเล่าเรื่องเกี่ยวกับ ‘คำขอโทษ’ จากประสบการณ์ตรงที่เคยเจอ ทำเอาหลายคนเข้ามาอ่าน มาร่วมแสดงความเห็น และร่วมแชร์ประสบการณ์จริงที่พวกเขาเคยเจอ

เรื่องที่หนุ่ย พงศ์สุข เล่าไว้เมื่อคืนนี้ว่า “ขอโทษเร็ว กับ ขอโทษช้า”

ขอโทษช้า

ผมจะเล่าเรื่อง “ขอโทษช้า” ก่อน แถวบ้านผมมีร้านหมูเกาหลีที่ทำโดยคนเกาหลีจริงๆ เราอุดหนุนกันตั้งแต่แกมาเปิดใหม่ๆ ร้านยังเล็กๆ โต๊ะมีแค่ 2 โต๊ะ เราขนคนไปนั่งกันนิดๆ หน่อยๆ ก็แน่นร้านแล้ว

Advertisement

ร้านนี้ชื่อ “จูบัง” (แปลว่าครัว) ขายหมูย่างด้วยเทคนิคแปลกตาคือเอาเนื้อหมูมาว่ายวนในตู้น้ำเย็น (Sous Vide : ซูวี นั่นเอง) เจ้าของร้านเป็นชาวเกาหลีแท้ๆ พูดไทยไม่ได้เลย พูดอังกฤษได้น้อยมาก แกอยู่ในทรงอย่างแบด แซดอย่างหน่อยๆ เราเรียกแกว่า “อปปา”

…จนโนอึล คาอึล สองสาวเกาหลีที่มากับเรามาได้ยินเข้า รีบห้ามเราว่า “ทรงแบบนี้เราไม่เรียกเขาอปปานะคะ เรียก ‘ซาจังนิม’ (ที่แปลว่าเจ้าของร้าน) ก็พอค่ะ 555”

เรายังเรียกแกว่า “อปปา” ต่อไป เพราะจำคำว่า “ซาจังนิม” ไม่ได้ซะที คำยากไป เจอหน้าก็เรียกอปปาเลย
เรามากินร้านแกบ่อย เพราะหมูย่างแกก็อร่อยจริงๆ นั่นแหละ (เคยเขียนชมลงเฟซบุ๊กไปแล้วครั้งนึงในอดีต)
แต่แกทำไม่ค่อยทันนะ เนื่องจาก “จูบัง” (ครัว) ของแกเล็ก … เด็กในร้านน้อย … เรามาทีไรก็สั่งแกแทบทุกเมนูในแผ่นเมนู

Advertisement

อาหารมาเต็มโต๊ะ กว่าแกจะทำเสร็จก็นานหน่อย … แต่บ่อยครั้งแกจะหงุดหงิดตัวเองในความทำไม่ทันของแกเอง ทั้งๆ ที่เราไม่ได้เร่ง

มาทีไรก็กินกันสนุก เป็นแขกชุดเดียวในร้านเล็ก คุยกันเมามันตามสไตล์มื้ออาหารค่ำ

ทีนี้พอมากินกันบ่อยๆ พาเพื่อน พาน้อง พาคนที่เรารักมาหลายหนเข้า เราเริ่มเห็นความหงุดหงิดของแกที่มีมากขึ้น จนจุดยุติการอุดหนุนแบบไม่จงใจก็เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อนหน้านี้

ตอนนั้นผมเช็กบิลจ่ายเงินกันเสร็จแล้ว แล้วเกิดหิวน้ำ จึงขอน้ำ (น้ำร้านแกคือ “ชาข้าว” สไตล์เกาหลี สดชื่นดีเลย แกต้มใส่ขวดแช่เย็นไว้ให้แขกฟรีไม่คิดเงิน) … ปรากฏแกเดินหงุดหงิดมาจากในครัว จังหวะเห็นผมขอน้ำตอนจ่ายเงินแล้ว แกก็โบกมือปฏิเสธ ไม่ให้!

ผมก็อึ้งสิ แต่ไม่เถียงอะไร สะบัดบ๊อบเดินออกจากร้านเลยไม่โต้เถียง จังหวะนั้นแกคงรู้สึกตัวแล้วว่าแสดงอารมณ์ผิดพลาด แกก็พยายามจะรั้ง แต่ผมไม่กินแล้ว และเดินออกมาแล้ว

เราไม่ได้เข้าร้านแกอีกเลยหลายเดือน

แต่ผ่านหน้าร้านแกตลอดนะเนื่องจากอยู่ใกล้บ้าน และเราเห็นว่าแก “ขยายร้าน” สำเร็จ จากการที่ร้านสปาเกตตีข้างๆ เจ๊ง…ตอนกินรอบสุดท้ายเรายังเชียร์แกอยู่เลยว่า ข้างๆ ว่างแล้ว ขยายเลย! ขายดีแน่!

ปรากฏแกทำได้! ร้านจูบังกลายเป็นร้านฮิตของย่าน Foodie บางนา เพราะความสามารถของแกล้วนๆ คือหมูย่างแกอร่อยมาก เครื่องเคียงอย่าง “จับแช” ก็โคตรอร่อย เส้นกรุบ แกเพิ่มเมนู “เนื้อย่าง” ด้วย ขายกันเต็มรูปแบบ …จูบังแกใหญ่ขึ้นสมใจ

เรากลับไปกินกันอีกหนเมื่อค่ำวันเสาร์ เราพาคนที่รักไปมากมายเหมือนเดิม

ผมบอกตามตรงว่า “ลืมแล้ว” กับประเด็นแกไม่ให้น้ำกินหลังเช็กบิล ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยเลย เรื่องมันผ่านมาหลายเดือน ผมลืมไปหมดสิ้นแล้วจริงๆ

เจอหน้าแก เรารีบเข้าไปจับไม้จับมือแสดงความดีใจที่ร้านแกใหญ่ขึ้น ลูกค้งลูกค้ามากมาย แกยิ้มรับอย่างเขิน ๆ “แซ้งกิ้ว ~ แซ้งกิ้ว”

มื้อนี้มื้อใหญ่ แกทำให้เราสุดฝีมือ อัตราการเสิร์ฟเร็วขึ้น กำลังคนพร้อม แกขลุกอยู่ในครัวด้วยตัวเองเหมือนเดิม

จนเราเช็กบิลออกจากร้านมาถ่ายรูปหมู่หน้าร้านด้วยความเฮฮา (ตามภาพที่โพสต์วานนี้)

จู่ๆ แกเอาน้ำชาข้าวแช่เย็น 6 ขวดดังภาพ ใส่ถุงมายัดใส่มือคุณตุ๊ก … ตอนแรกก็งงว่าไม่ได้สั่ง แต่พอเวลาผ่านไป 10 วินาที เราก็เก็ตว่า …”นี่คือคำขอโทษ”

ขอโทษที่ช้าไปหลายเดือนจนเราลืม …
แต่แกไม่ลืม แล้วแกรอโอกาสนี้อยู่จนเรามาร้านอีกครั้ง
นี่คือเรื่อง “ขอโทษช้า”

ขอโทษเร็ว

ต่อมาคือเรื่อง “ขอโทษเร็ว”

บ่ายวันนี้มีเรื่องกระทบจิตใจผมจึ้งใหญ่ แต่ผมอดทนไว้ จนมาประกอบการงานอันดีช่วงบ่ายแก่ๆ ก็ทำจิตใจ Keep Calm ได้มาก แต่เรื่องจึ้งใหญ่นี้ทำผมนั่งกัดฟันมาเป็นชั่วโมง (จนถึงตอนที่พิมพ์อยู่นี้) ผมรู้สึกเกร็งกรามจนลามปวดหัวอ่อนๆ คล้ายไมเกรน

ตอนขับรถจะกลับบ้าน ผมก็รู้สึกหงุดหงิดง่ายขึ้นมา (อารมณ์เดียวกับ อปปา ล่ะมั้งนะ) ปรากฏมีรถยนต์คันหนึ่งจะเปลี่ยนเลนจากขวา เทมาทางผม …

ผมเห็นแล้วล่ะว่าจังหวะนี้ผมอยู่ใน “จุดบอด” ของเขาแน่ๆ จึงบีบแตร “ปี้นนนน”

เป็นปี้นไม่ปกติ เพราะปี้นนี้ยาว 2 วินาที ดับเบิลจากเวลาปี้นปกติที่ควรเป็น 1 วิ ฯ …มือกดด้วยอารมณ์ที่ส่งผลจากอาการปวดหัวตุบๆ ของผมแน่แท้ล่ะยอมรับเลยกูหงุดหงิด!

ปรากฏผู้ขับขี่รถยนต์คันนี้ท่านอ่อนไหวต่อเสียงแตรตามที่เราเคยเห็นเคสในคลิปข่าวโซเชียลเลย

เขาขับตามผมอย่างไม่ลดละ และพยามจี้ตูด เขาต้องโกรธแน่จากเสียงแตรนี้

ผมเห็นสีหน้าเขาจากกระจกมองหลัง ท่าทางไม่น่าคบค้าด้วยเลย จึงเลือกใช้วิธี “ฉีกหนีออกมา” ด้วยพลัง EV ที่ดูเหมือนกระชากแซงด้วยความแรง

ผมกดคันเร่งรถไฟฟ้าเพียงนิด รถก็พุ่งพรวดเป็นจรวดแล้ว ผมเริ่มห่างจากรถเขา น่าจะทำเขาโกรธเพิ่ม!
แต่การจราจรข้างหน้าก็ไม่ง่ายนักที่จะทำตัวสลายหายไปได้จากทาสอารมณ์นี้

… ผมเจอพาเหรดมอเตอร์ไซค์ซ้อนสาม และมอเตอร์ไซค์ย้อนศรเข้ามาขวาง ผมทำความเร็วได้ไม่มาก …
ผมบอกภรรยาและทุกคนในรถว่า เราโดนผู้ไม่พอใจในเสียงแตรพ่อ ขับตามเราอยู่นะ ระวังตัวกันให้เต็มที่ …
ในรถมีลูกเต้าครบ+แม่ยายอีก 1 รวม 5 ชีวิต

เราขับมาจนเห็นรถกำลังติดที่สี่แยกด้านหน้า ท่าทางไม่ดีเลยจริงๆ หากจะหยุดเป็นเป้านิ่ง …ดูคลิปมาเป็นสิบเป็นร้อย รู้เลยว่านี่คือสถานการณ์ไม่สู้ดี

ผมเลยเลือกเลี้ยวซ้ายผ่านตลอดไปทางตรงกันข้ามกับทิศที่จะไปเพื่อ “หนี” …

ปรากฏว่าเขา “ตาม” ต่อครับ …ตามแบบหนังบู๊เลย

ผมเริ่มมองเห็นตำรวจที่กำลังโบกรถอยู่ด้านหน้า อีกนิดเดียวก็จะขับถึงท่าน

แต่เขาก็เร่งแซงได้และปาดขวาเข้ามาขวางให้ผมหยุด เปิดกระจกชี้นิ้วง้างมาเลย … วินาทีนี้ผมไม่เร่งเครื่องแล้ว อันตรายคนรอบข้าง ผมหยุดรถให้ตามใจเขาแล้วเปิดกระจก

… “ยกมือไหว้” ….

ผมกล่าวคำชัดถ้อยว่า “ผมขอโทษ” น้ำเสียงเรียบเฉยไม่ได้ชวนทะเลาะ

เขาก็พูดกลับดีนะ ไม่กระโชกโฮกฮาก แต่เขาว่าเขาเปิดไฟเลี้ยวแล้วทำไมไม่ให้เขาเข้า ผมก็พูดต่อว่า “ผมขอโทษ”

เขาส่งสายตาไม่พอใจผมแหละและถามต่อว่าบีบแตรทำไม ?

ผมกล่าวคำขอโทษเป็นครั้งที่ 3 “ผมขอโทษ … ผมมีเรื่องหงุดหงิดในใจ ปัญหาส่วนตัวผมเอง” แล้วยกมือไหว้ครั้งที่ 3 ปิดท้ายประโยค

ผมไม่ได้อธิบายเรื่องจุดบอด เพราะคิดว่านี่ไม่ใช่เวลามานั่งเถียงถึงเหตุผลของเรา

ปรากฏว่าเขาเข้าใจแฮะ และเราก็แยกย้ายกันไว ไม่ถึง 1 นาทีด้วยซ้ำ หลังขับตามกัน 2 นาที + 2 วินาทีที่ปี้นใส่

เคลียร์จบก่อนถึงจุดที่คุณตำรวจยืนอยู่

คุณตุ๊กผู้นั่งอยู่ในเหตุการณ์และสังเกตการณ์อย่างสุภาพ กล่าวว่า….“ดูเขาตกใจที่เราขอโทษเร็ว”
… ใช่ …เมื่อเราชิงขอโทษซะหากไปทำให้ใครไม่พอใจ มันก็ไม่มีอะไรให้หนักใจใครต่อไป ทั้งเรา ทั้งเขา
งานนี้หลังจบเหตุ ในรถเราเงียบงันกันอยู่พักใหญ่ …ครั้งนี้แปลก ผมไม่มีใจสั่น ไม่มีใจเต้นโครมคราม …ผมถามลูกสาวตรงๆ ตอนเริ่มกลับมาเปิดปากพูดกันว่า “พ่อแก้ไขปัญหานี้เป็นยังไงในสายตาลูก ?”

เธอคิดและตอบว่า “พ่อทำดีมาก”

ใช่ครับ ลูกเห็นด้วยกับวิธีที่ผมเลือก

คือผมเลือกรักษาชีวิตตนเองไว้ไม่ให้พวกเธอต้องมาแบกรับความเสี่ยงต่อการเป็นลูกกำพร้า หรือเป็นแม่ม่าย
หากเหตุไม่ลงรอยจบไม่สวย เราก็อาจต้องยืนร้องไห้กันข้างถนนแบบที่ทุกคนเคยเห็นในข่าว

ผมนึกขอบคุณผู้ขับขี่ท่านนั้นด้วยครับที่รับคำขอโทษนี้จากใจ …

คำว่า “ขอโทษ” กล่าวได้โดยไม่มีความรู้สึกต้องเสียหน้าอะไรนะ

หลายเหตุการณ์ทุกคนก็อยากใช้เหตุผลของตัวเองกันทั้งนั้น และอยากยืนหยัดอยู่ในมุมที่เราคิดว่าเราถูก ขอเพียงใครซักคน “ชิงขอโทษก่อน” …เท่านี้จริงๆ จ้า จะขอโทษช้า หรือ ขอโทษไว ยังไงมันก็คือการ “ยอมรับความผิด” ไม่มีใครต้องเสียหน้าซักคนเลย…

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image