‘อาฟเตอร์ช็อก’ไอเดีย’ม.จ.จุลเจิม’ พระสงฆ์-โซเชียล ข้องใจทัศนคติ ถามเหมาะสมหรือไม่?

ไม่ว่าจะเป็น “ทีเล่น” หรือ “ทีจริง” แต่ที่แน่ๆ ไอเดียของ ม.จ.จุลเจิม ยุคล ที่มีต่อกรณีการรวมตัวแสดงพลังของเครือข่ายสงฆ์ในการสัมมนาหัวข้อ “สกัดแผนล่มการปกครองคณะสงฆ์ไทย” ที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม ก็ทำให้เกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมามากมาย

ข้อเสนอของ ม.จ.จุลเจิม เกิดขึ้นหลังจากที่มีการปะทะกันระหว่างทหารและพระสงฆ์ โดยสรุปใจความได้ว่า หากมีการชุมนุมของพระสงฆ์อีกในครั้งต่อไป ให้ใช้ทหารหญิง ตำรวจหญิง รวมถึงหมอนวด หญิงงามเมือง โคโยตี้ แม่ค้าปากคลองตลาด มาเป็นแถวหน้าในการควบคุมม็อบ หรือหากมีการชุมนุมยืดเยื้อก็เสนอให้ขวางการส่งเสบียงอาหารสัก 10-15 กิโลเมตร ไม่ให้ยวดยานพาหนะผ่านเข้าออก หากจะมารับเสบียงอาหารนี้ก็ต้องเดินเท้าเอา และจากนั้นหลังเที่ยงให้ระดมร้านค้า พ่อค้าไก่ย่าง หมูปิ้ง ตั้งไฟย่างเหนือลมให้โชยไปเข้าจมูกพระ

เป็นตลกที่หลายคนอาจตลกไม่ออก จนมีเสียงสะท้อนตามมาจากพระภิกษุ รวมถึงบุคคลในโลกโซเชียลมากมาย

4
ข้อความจากเฟซบุ๊กของ ม.จ.จุลเจิม ยุคล – Chulcherm Yugala

 

Advertisement

ต่อกรณีดังกล่าว พระราชวิจิตรปฏิภาณ หรือ เจ้าคุณพิพิธ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับท่านเลยในทุกกรณี แต่ท่านเอาตัวเองมาลงกับเรื่องนี้ทำไม โดยเฉพาะอย่างยิ่งทัศนคติที่จะช่วยรัฐบาลหรือฝ่ายใดๆ ก็ตามที่จะไม่ให้พระได้เข้าไปในพุทธมณฑล ท่านคิดได้อย่างไร การคิดอย่างนี้ สะท้อนเบื้องลึกของจิตใจสองประการ คือ 1.อคติที่มีต่อคณะสงฆ์ แสดงว่าท่านไม่ได้รู้เหตุผลในการประชุมของคณะสงฆ์ มีความเกลียดชังต่อองค์กรคณะสงฆ์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือดูถูกเหยียดหยาม จึงแสดงทัศนคติเอนเอียงแบบนี้ 2.ทัศนคติที่แสดงออกมาไม่เกินสะดือไปเลยหรือ

“ใครที่ได้อ่านความคิดนี้ เขาจะดูถูกเหยียดหยามตัวผู้แสดงทัศนะเอง ไม่มีใครเขาทำตาม แต่จะนินทาว่าบ้าบอคอแตก” เจ้าคุณพิพิธกล่าว

เมื่อถามว่าอาจเป็นเรื่องตลก แสดงความเห็นล้อเล่น สนุกๆ ?

Advertisement

พระราชวิจิตรปฏิภาณ กล่าวว่า ถ้าเป็นคนระดับล่าง คนทั่วไปอาจไม่เป็นไร เปรียบเทียบไปก็เหมือนการพลั้งคะนองปาก แต่ถ้าเป็นนักวิชาการ เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ และมีฐานันดรสูง การคะนองปาก เพียงครั้งเดียวก็อาจทำให้ไม่มีที่อยู่ได้ เป็นผู้หลักผู้ใหญ่พูดเล่นไม่ได้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ‘ยิ่งสูงมาก การสำรวมปาก ควรมีสติสัมปชัญญะ ปัญญา จึงเป็นความประเสิร์ฐ’ เพราะคนสูงมากชมคนต่อหน้าใครก็ไม่ดี ชมคน 1 คน คนนั้นอาจถูกเกลียดเป็นร้อยเป็นพัน ติคน 1 คน คนที่โดนติก็เกลียดชัง คนที่เกลียดชังคนโดนติก็ยิ่งถมทับเขามากยิ่งขึ้นอีก เรื่องการพูดอย่างนี้ มองว่าไม่ใช่เรื่องเล่นแล้วล่ะ เป็นความจงใจที่จะพูด และข้อความแบบนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรก น่าจะเป็นครั้งที่สองแล้ว

พระราชวิจิตรปฏิภาณ
พระราชวิจิตรปฏิภาณ

ต่อด้วยความเห็นของพระหัวก้าวหน้าชื่อดังแห่งวัดสร้อยทอง

พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ กล่าวว่า ไม่ทราบความคิดว่ามีดำริอย่างไรจึงโพสต์ข้อความลักษณะนี้ ท่านเป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ไม่ควรออกมาแสดงทัศนะเหมือนกับอคติ หรือคล้ายกับเป็นการโยนบาปให้พระ หรือมองพระที่ออกมารวมตัวที่พุทธมณฑลในแง่ลบเกินไป อาตมาคิดว่าถ้าจะวิจารณ์ก็ควรจะวิจารณ์ด้วยหลักของเหตุผล สุภาพและให้เกียรติกัน เพราะพระท่านออกมาก็มีจุดประสงค์ของท่านในการเรียกร้องหรือนำเสนอมติของคณะสงฆ์ส่วนใหญ่ว่าคณะสงฆ์ต้องการอะไร หรืออยากให้รัฐรับฟังอะไรในสิ่งที่พระสงฆ์จะสื่อ อีกทั้งการออกมาของพระสงฆ์ก็อยู่ในส่วนที่เป็นที่เป็นทาง ไม่ได้ออกมาอยู่บนท้องถนน ซึ่งพุทธมณฑลก็เป็นสถานที่ที่ใช้กับกิจการเกี่ยวกับคณะสงฆ์อยู่แล้ว ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร

“การออกมาแสดงทัศนะที่เป็นการเหยียดไม่เหมาะเท่าไหร่นัก แต่ก็สะท้อนความจริงอย่างหนึ่งว่า แม้แต่คนระดับสูงที่เป็นชนชั้นสูงเองก็มีการเลือกข้างทางการเมืองอย่างชัดเจน ไม่เว้นแม้แต่การนำทัศนคติการเลือกข้างทางการเมืองมาใช้กับพระสงฆ์ การโพสต์ข้อความแบบนี้คงมองว่าโพสต์แบบตลกๆ ไม่ได้ เพราะว่าสิ่งที่ท่านเอามาพูดเอามาเปรียบเปรย ทั้งทหารหญิง ตำรวจหญิง คุณหมอนวด หญิงงามเมือง โคโยตี้ แม่ค้าปากคลองตลาด ท่านก็รู้อยู่แล้วว่าแบบนี้กับพระเหมาะสมแล้วหรือ”

แต่อยากแสดงความเห็น หรือวิพากษ์วิจารณ์พระสงฆ์ พระมหาไพรวัลย์ก็บอกว่าสามารถทำได้

พระมหาไพรวัลย์ เสนอว่า ต้องสื่อให้ชัดว่าจะบอกอะไร บอกตรงๆว่าพระท่านไม่เหมาะสมอย่างไร แต่การพูดที่ออกมาเป็นทำนองเหยียดกัน เอาผู้หญิงมาเพื่อให้ดูเป็นแง่ลบนั้นไม่ถูกต้อง และอาจจะมีคนมองว่าเป็นเรื่องเหยียดเพศได้ เพราะถ้ามองในเชิงสังคมข้างนอก การพูดทำนองเอาผู้หญิงมาทำอะไรแบบนี้ คนอาจจะรับไม่ได้ สะท้อนมายาคติของคนยุคก่อนสมัยก่อน ที่มีเรื่องการเหยียดเรื่องเพศกันอยู่

พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ
พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ

“เรื่องนี้อาจจะไม่ถึงขั้นเหยียดศาสนา แต่มันสะท้อนถึงอคติในการเลือกข้างทางการเมือง ที่ท่านเอาเรื่องของพระไปโยงกับการเมืองแล้วมองว่าพระที่ออกมาอยู่ฝั่งที่ท่านไม่ชอบไม่เห็นด้วย ซึ่งพระที่ออกไป บางทีอาจจะเป็นกลุ่มที่หลากหลาย อาจจะมีประเด็นทางการเมืองไม่ตรงกัน อาจจะไม่ชอบวัดธรรมกายด้วยก็ได้ แต่ที่ท่านออกไปอาจเพราะมีจุดร่วมบางอย่างที่เห็นตรงกัน อาตมามองว่า เรื่องแบบนี้ต้องใช้วิจารณญาณในการมองในการแยกแยะที่ละเอียดมาก อย่าไปเหมาะรวมหรือพูดรวมๆ” พระมหาไพรวัลย์ กล่าว

พระมหาไพรวัลย์ทิ้งท้ายด้วยหลักคิดที่น่าสนใจ

“ในสถานการณ์แบบนี้พุทธศาสนิกชน ควรจะใช้วิจารณญาณในการเสพข้อมูล เสพสื่อให้มากขึ้น แล้วก็อย่าด่วนตัดสิน อย่าใช้อารมณ์แทนเหตุผล ไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์ หรือฆราวาส ขณะนี้ที่มีการเถียงกัน ด่าทอกันล้วนเอาอารมณ์นำเหตุผล พอเห็นไม่ตรงกันหรืออยู่คนละฝั่ง คนละฝ่ายในบางเรื่อง โดยเฉพาะประเด็นทางการเมืองก็จะไม่ยอมแลกเปลี่ยนกัน พูดคุยกันด้วยเหตุผล ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมหันหน้าเข้าหากัน ก็เลยทำให้เป็นปัญหา

“ดังนั้นคนพุทธในยุคปัจจุบันต้องใช้สติ และปัญญาให้มากขึ้น”

ขณะที่ความเห็นจากโลกออนไลน์ มีทั้งฝ่ายสนับสนุนแนวคิดดังกล่าว มีผู้แชร์ข้อความกว่า1,000 ครั้ง และกดไลค์เป็นจำนวนมากกว่า 3,000 คน ขณะที่ความเห็นคัดค้านนั้น หลายคนมองว่าแนวคิดดังกล่าว เป็นแนวคิดอาจเข้าข่ายเหยียดเพศ เพราะไม่เข้าใจทำไมต้องเป็นผู้หญิง ที่มีหน้าที่ไปจัดการกับม็อบพระ นอกจากนี้เหตุใดจึงต้องระบุว่าเป็นอาชีพหมอนวด แม่ค้า และโคโยตี้ เท่านั้นอีกด้วย จึงมองว่าเเนวคิดดังกล่าวเข้าข่าย เหยียดพระ เหยียดเพศ และเหยียดอาชีพ

27

26

25

24

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image