‘แยกธาตุ’จากคอมเมนต์ กรณี’สรยุทธ-ไร่ส้ม’ หลากทรรศนะ เพื่อนร่วมวิชาชีพ

เป็นที่จับตามองของสังคม และเป็นข่าวปรากฏตามหน้าสื่อทุกแขนง กรณี ศาลอาญามีคำพิพากษาจำคุกนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง และกรรมการผู้จัดการบริษัท ไร่ส้ม จำกัด เป็นเวลา 13 ปี 4 เดือน โดยสุดท้ายทนายความได้ยื่นคำร้องขอประกันตัว 2 ล้านบาท และกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล และต้องมารายงานตัวต่อศาลทุก 30 วัน

ควันหลงคดีความของพิธีกรข่าวชื่อดัง นอกจากประชาชนที่เฝ้าติดตามเรื่องดังกล่าวแล้ว เพื่อนร่วมวิชาชีพอย่าง “สื่อมวลชน-นักวิชาการสื่อ” ก็จับตาดูอยู่ไม่แพ้กัน จนเกิดความเห็นตามมาของแต่ละฝ่าย ผ่านทั้งการแถลงข่าว บทสัมภาษณ์ และเฟซบุ๊กส่วนตัว

เทพชัย หย่อง และสมาคมข่าว
คำถาม “เนชั่น” ถึง “นักวิชาการสื่อ”

(จากซ้าย) เทพชัย หย่อง, สมภพ รัตนวลี
(จากซ้าย) เทพชัย หย่อง, สมภพ รัตนวลี

เริ่มต้นที่ เทพชัย หย่อง คนข่าวแห่งค่ายบางนา ออกแถลงข่าวทันที โดยมีตำแหน่งนายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย พ่วงท้ายการันตี โดยกล่าวว่า คดีนี้ถือเป็นบทเรียนสำหรับของคนทำสื่อ ที่เตือนให้เรารู้ว่า ต้องมีความโปร่งใส ครอบคลุมในทุกเวที หากเราต้องการให้หน่วยงานราชการ ข้าราชการ นักการเมือง มีมาตรฐาน สื่อก็ต้องมีมาตรฐานเช่นกัน

เมื่อถามว่า “สรยุทธสมควรที่จะยุติการจัดรายการหรือไม่ ?”

Advertisement

เทพชัยฟันธงชัดเจนว่า เรื่องนี้ชัดเจนอยู่แล้ว แม้จะเป็นศาลชั้นต้น เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสปิริต แต่เป็นเรื่องที่ต้องแสดงความรับผิดชอบ สมควรที่ต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่ เรื่องนี้เป็นบทเรียน อย่าอาศัยช่องว่างทำประโยชน์ให้ตนเอง และต้องทำหน้าที่อย่างสุจริต

ขณะที่บทสัมภาษณ์ของนักวิชาการสื่อ ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ ม.หอการค้าไทย ที่ให้สัมภาษณ์กับเนชั่นทีวี ก็ออกมาในทำนองเดียวกับเทพชัย คือจี้ให้พิธีกรข่าวชื่อดังแสดงสปิริตพักการทำหน้าที่ก่อน

มานะบอกว่า ควรแสดงสปิริตการทำหน้าที่หน้าจอเอาไว้ก่อน เพราะในบทบาทไม่ว่าจะเป็นผู้ประกาศเอง ในบทบาทของสื่อมวลชน ประชาชนคาดหวังและให้เครดิตค่อนข้างมาก ในฐานะที่เป็นสื่อมวลชน เวลาที่เชิญแขกรับเชิญมาซักถาม ไม่ว่าเป็นประเด็นเรื่องอะไรก็ตาม จะได้มีความโปร่งใสด้วยลักษณะเดียวกัน ก็จะเป็นตัวอย่างให้กับเยาวชนด้วย คิดว่าเป็นสปิริตอันหนึ่งที่สื่อมวลชนเองน่าจะได้มีการกระทำออกมา

Advertisement

และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ต้นสังกัดควรดำเนินการอย่างไรในเรื่องนี้ ดร. มานะมองว่า ช่องต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ของตัวช่องรายการเอง ในฐานะที่เป็นสื่อมวลชนเองด้วย เพราะว่าตัวบทบาทของสื่อมวลชนเองไม่ใช่แค่นำเสนอข่าวสารเพียงอย่างเดียว แต่เป็นแบบอย่างต่างๆ ด้วย เพราะฉะนั้นแล้วในเรื่องนี้ เป็นเรื่องละเอียดอ่อนเกี่ยวกับจริยธรรมด้วย ในสังคมเอง ตั้งคำถามบทบาทของพิธีกร บทบาทของผู้ประกาศข่าวต่างๆ ถ้ามีคดีที่ยาวนานและศาลตัดสิน คิดว่าควรพักหน้าจอไว้ก่อน และหลังจากนั้นค่อยทำหน้าที่ถ้าเกิดว่ามีการพิสูจน์ขั้นต่อไป

นักวิชาการสื่อจาก ม.หอการค้าไทยให้สัมภาษณ์ทิ้งท้ายไว้ว่า
“เรื่องจริยธรรมเป็นเรื่องที่สื่อมวลชนควรจะตระหนักถึง ไม่ใช่กรณีของเคสนี้อย่างเดียว จริยธรรมหลายๆ อย่างที่มีอยู่ในสื่อมวลชนเองก็ควรจะมีการพิจารณาให้ความสำคัญ เพราะว่าเรื่องจริยธรรมมันอาจจะไม่ได้มีโทษรุนแรงเหมือนทางกฎหมายก็จริง แต่ว่าสื่อมวลชนเรามีบทบาทที่เป็นแบบอย่างและมีผลกระทบต่อสังคมอย่างมาก ในเรื่องราวที่เรานำเสนอออกไป เพราะฉะนั้นแล้วคนที่ทำหน้าที่สื่อมวลชนไม่ว่าจะหน้าจอหรือหลังจอ ต้องตระหนักอยู่เสมอในเรื่องของจรรยาบรรณวิชาชีพ”

เมื่อสื่อ “ริษยารวมหมู่”
“ใบตองแห้ง” ถามตรง “ถ้าสรยุทธเป็นสลิ่ม?”

ใบตองแห้ง
ใบตองแห้ง

ส่องไปที่เฟซบุ๊ก “ใบตองแห้ง” หรืออธิกกิต แสวงสุข พิธีกรและคอลัมนิสต์ชื่อดัง ประเด็นหนึ่งพุ่งไปที่สื่อไทยไล่ล่าสรยุทธเพราะความ “ริษยา” หรือเพราะความคิดต่างทางการเมืองด้วยหรือไม่

“ใบตองแห้ง” เขียนไว้ว่า…

ภายหลังคำพิพากษา ที่สะใจสื่อสลิ่ม สรยุทธควรจัดรายการต่อไปหรือไม่ ผมไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย ในเมื่อคดียังไม่ถึงที่สุด และศาลไม่ได้สั่งห้าม เพียงแต่ 1.สรยุทธต้องไม่ใช้รายการแก้ต่างให้ตัวเอง 2.สรยุทธต้องรายงานข่าวนี้เช่นเดียวกับช่องอื่นๆ ถ้าจะมีตัวเองพูด ก็คือตัวเองที่หน้าศาล พูดเป็นข่าวเหมือนทุกช่องทั่วไป ไม่ให้เวลาตัวเองเป็นพิเศษ

คนดูจะยอมรับหรือไม่ ก็ให้วัดจากเรตติ้ง เป็นเรื่องของช่อง 3 ที่จะประเมิน แน่ล่ะ พวกต่อมศีลธรรมสูงคงด่าลั่น เรียกร้องให้บอยคอตช่อง 3 เอเยนซี่ถอนโฆษณา พร้อมกับด่าคนดูว่าจริยธรรมต่ำ ยอมรับคนโกงได้อย่างไร

ทั้งที่คนดูไม่ได้ดูเพราะเชื่อว่าสรยุทธโกงไม่โกง แต่คนดูดูเพราะสรยุทธจับประเด็นข่าวนำเสนอได้แหลมคม เข้าเป้า น่าสนใจกว่าคนอื่น ว่าที่จริง กรณีนี้ถ้าเป็นสังคมฝรั่ง กระบวนการยุติธรรมฝรั่ง “จริยธรรมฝรั่ง” สถานีจะต้องสั่งพักงานสรยุทธจนกว่าคดีจะสิ้นสุด และผมก็คงเห็นด้วย อ้าว ไหงงั้น ก็เพราะเราอยู่ในสังคมดัดจริตไง อยู่ในสังคมล่าแม่มด ที่ไล่ขึงพืดคนอื่นเพื่อให้ตัวเองเป็นคนดี

สื่อไทยไล่ล่าสรยุทธ ไม่เพียงเพราะความ “ริษยารวมหมู่” ที่สรยุทธรวยจากการ “ขายข่าว” (ผู้ประกาศเป็นดาราหรู นักข่าวไส้แห้ง ทั้งที่ความจริงต้องโทษต้นสังกัดเมริงสิ จ่ายเงินเดือนน้อย ข่าวเมื่อรายงานออกไปก็เป็นสาธารณะ ใครจะหยิบประเด็นไปขาย ไปขยาย ไปสานต่อ ก็อยู่ที่ความสามารถแต่ละคน) แต่สื่อไทยยังไล่ล่าสรยุทธเพื่อหาคนบาป เบี่ยงเบนจากบาปตัวเอง ที่เลือกข้างทำลายล้างประชาธิปไตย แถอย่างไร้เหตุผล อ้างตนเป็นคนดี เห็นไหม เราเป็นคนดีมีศีลธรรม เราควรมีอำนาจชี้นำสังคม สรยุทธสิเลว
ถ้าจำกันได้ บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ถอนโฆษณาช่อง 3 รายแรก แล้วก็กระโดดไปเป็นรัฐมนตรีรัฐประหาร ไม่แน่นะ ถ้าสรยุทธเป็นสลิ่ม ต่อให้โดนคำพิพากษาหนักกว่านี้ สื่ออาจเห็นใจก็ได้

11 ข้อถึง “พี่ยุทธ”
ทำไมใครๆก็ไม่รัก (นอกจากผู้ชม)

สมภพ รัตนวลี (รูปจาก เฟชบุ๊ก sompop Lee)
สมภพ รัตนวลี (รูปจาก เฟซบุ๊ก sompop Lee)

ขณะที่ สมภพ รัตนวลี อดีตบรรณาธิการเนชั่นทีวี (ร่วมชายคาเดียวกับสรยุทธ) ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการฝ่ายข่าว เวิร์คพอยท์ทีวี เขียนไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัว กับบทความที่มีชื่อว่า “วงการข่าวใครๆ ก็ไม่รัก ‘สรยุทธ’ (นอกจากผู้ชม)” โดยไล่เรียงมาเป็นข้อๆ 11 ข้อ ในฐานะคนเคยร่วมงานและอยู่ในวงการเดียวกัน เพื่อให้เห็นถึงชีวิต การทำงาน กระทั่งบทบาทของสรยุทธที่เปลี่ยนโฉมวงการข่าวโทรทัศน์ในประเทศไทย และกลายเป็นเบอร์ 1 ยืนระยะมากว่าทศวรรษ

ตอนท้ายผู้อำนวยการฝ่ายข่าว เวิร์คพอยท์ทีวี คาดการณ์ไว้ เมื่อไม่มีรายการ “เรื่องเด่นเย็นนี้” ในช่วงเย็นวันที่ 29 กุมภาพันธ์ แต่พอรุ่งเช้ารายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” วันที่ 1 มีนาคม สรยุทธก็สามารถกลับมาทำหน้าที่ได้ตามปกติ

ขอคัดลอกมาลงและตัดตอนบางคำที่ต้องเซ็นเซอร์ ดังนี้…

โดนจองกฐินมาข้ามทศวรรษ โทษฐานทำวงการข่าวปั่นป่วนหมดทั้งวงการ 555 (มึงทำยังไงรวยเอารวยเอา กูลอกมึงมาเน้นๆ เสือกจนเอาจนเอา 555 อีกที) อะไรทำให้คนอย่างสรยุทธ ดัง และพรรคพวกในวงการข่าวจ้องตาเป็นมัน (เพื่อรอพลิกเกมเหรอ? 555) พี่ยุทธมีของแน่นอน

1.เปลี่ยนรูปแบบจากการอ่านเคร่งขรึม มาเล่าข่าวเอิ๊กอ๊าก แตะต้องได้ และแน่นอน 99.99% ข่าวที่ชาวบ้านเข้าถึง

2.เล่นกับคนดูฝรั่งมันเรียก Interactive (สุทธิชัยคิด-พี่ยุทธทำได้ ทำดีกว่าด้วย 555) สร้างความเป็นพรรคพวกเดียวกัน ครอบครัว ฯลฯ

3.เป็นผู้นำในการเปลี่ยนราคาขายโฆษณาราคาข่าว (คนอื่นขายข่าวหมื่นกว่าๆ พี่ยุทธเขย่ารายการเขย่าเรตติ้งขายหลักแสน ให้แกพูดพีอาร์นี่ต้องจอง ราคาเกือบแตะห้าก้อน)

4.เป็นเวลา 10 กว่าปีไม่มีใครโค่นแกลงจากบัลลังก์ข่าวเช้าได้เลยนะ พีคสุดสุด ทุกเช้ามีคนดูแก 3 ล้าน ต่ำสุดก็มี 2.5 ล้านคน (บางคนเปิดแค่เสียง-เพราะอาบน้ำ ทำกับข้าว ขายของ ฯลฯ) มาปีหลังๆ นี่เองที่ช่อง 7 เริ่มเบียดแกเข้ามาแล้ว

5.รายการฮาร์ดทอล์ก สรยุทธคือเดี่ยวมือหนึ่ง ตั้งแต่คมชัดลึก-เนชั่น มา ถึงลูกถึงคน-ช่อง 9 และเจาะข่าวเด่น ช่อง 3 ประสบความสำเร็จทั้งกล่องและรายได้มหาศาล รวมไปถึง Impact จากรายการที่ทำให้ปัญหาถูกพูดถึงถูกหยิบยกมาแก้ไข

6.ไม่ใช่นักข่าวนะมึง แกเป็นพรีเซ็นเตอร์ด้วย เป็นนักมาร์เก็ตติ้งด้วย เชี่ยวชาญทั้งอ่านข่าวและนักสังคมสงเคราะห์ตัวพ่อ น้ำท่วม ไฟไหม้ ภัยสงคราม ทะเลาะเบาะแว้ง หมาแมวกัดกัน ทุกเรื่องต้องถึงสรยุทธ

7.ใครจะเถียง เรื่องบันเทิงพี่ยุทธของจริง มองไกลไปแล้วว่าตอนเช้าต้องมาเล่าเรื่องบันเทิง อย่าเอานักข่าวโบราณมานั่งแกะเกากอสซิปไม่เวิร์ก เอาโก๊ะตี๋ จอย รินลณี โอ๋ เบนซ์ มาเล่าเลยดีกว่า (จ่ายตังค์เยอะหน่อย แต่โฆษณานาทีละสามแสนเอาป่ะล่ะ)

8.เรื่องตามแขก (โกรธแกมากกก 555) ทีมพี่ยุทธสารพัดวิธีที่จะปาดหน้า ล็อกตัว ปิดตายรายการอื่นๆ ไม่มีสิทธิเข้าถึง จนกว่าแกจะสัมภาษณ์และออกอากาศเรียบร้อย

9.พี่ยุทธกับเบิร์ด ธงไชย ใครดังกว่ากัน 555 ประวัติศาสตร์หน้าไหนของเมืองไทยบอกกูหน่อยที่คนข่าวดังกว่าซุปเปอร์สตาร์วงการบันเทิง (เจิมศักดิ์ กับ สุเทพ วงศ์กำแหง / สมเกียรติ อ่อน กับ ไชยา สุริยัน / สุทธิชัย กับ สมบัติ)

10.Social Fever เว็บไซต์เรื่องเล่าฯ นี่โฆษณาบึ้มเลยนะครับ เฟซบุ๊กเรื่องเล่าฯ ยอดไลค์ 9 ล้านกว่า ชนะเลิศทั้งปฐพี

11.ทั้งหมดนั้นจะไม่มีเลย ถ้าพี่ยุทธไม่ขยันหาข่าวตั้งแต่เป็นนักข่าวภาคสนาม จำได้ไหมพี่ยุทธเคยโดน พล.อ.ชาติชายโกรธมากๆ ที่แกถามไม่หยุด จนน้าชาติอัดแกว่า “เพราะกรุงศรีมีคนอย่างคุณ กรุงถึงแตก” / สรยุทธขยันในการอ่านข่าว หนังสือพิมพ์หลายฉบับต่อวัน บุหรี่กรองทิพย์ตลอดกาลควันโขมงตั้งแต่ยังจนอยู่ยันรวยพันล้าน ทำรายการเสร็จต้องออกมานั่งสรุปกับทีมงานแก้ไขจุดอ่อนรายวัน เล่นกับเครื่องมือ คน สถานที่ รูปแบบใหม่ๆ ในการเล่าข่าวตลอดเวลา

ที่เขียนมาทั้งหมดนี่ไม่ได้ชมแกหรอกนะ แต่มันคือเรื่องจริง ส่วนเรื่องทุจริตก็ว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรม เรื่องการไปทำรายการกับช่องหลักๆ ในอดีตนั้น บริษัทไหนก็เจอทั้งนั้นถ้าทำในรูปแบบไทม์ แชริ่ง ผู้ผลิตขายเวลาหมดแน่นอน และช่องก็ขายไม่เคยหมด สุดท้ายก็เอามาให้บริษัทผลิตซึ่งขายเก่งกว่าเอาไปขายทุกที ไม่เชื่อก็ไปสืบดูเด่ะ 555

วันนี้ไม่เห็นแกในเจาะข่าวเด่น เลยมานั่งคิดๆ ว่า อืม คนเรานี่นะ มันไม่แน่ไม่นอนจริงๆ อีกกี่ปีจะมีคนที่ทำรายการเก่งๆ แบบแกโผล่มาสักคนวะ? ( เชื่อผมเถอะ พรุ่งนี้ถ้าเปิดช่อง 3 ก็เจอแกแน่นอน 555 ตอนนี้คงขับรถไปดูดบุหรี่ยาวๆ แถวพัทยามั้ง)

นี่คือหลากความเห็นที่สะท้อนอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับปรากฏการณ์ของสังคมไทยในวันนี้

บางส่วนที่ยกมาให้เห็นนี้ อาจจะพอช่วย “แยกธาตุ” กลุ่มคนที่มีจุดยืนต่อกรณีพิธีกรข่าวชื่อดังได้

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image