การเปิดสนามนัดแรกของทีมชาติ เปรู ในศึก ฟุตบอลโลก 2018 กลุ่มซี แม้จะประเดิมอย่างน่าผิดหวังด้วยการพ่ายแพ้ เดนมาร์ก ไปฉิวเฉียด 0-1 แต่การได้ลงเล่นในเวทีใหญ่ระดับโลกหลังจากห่างหายไปนาน 36 ปี ก็เป็นหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์สำคัญของวงการลูกหนังของประเทศ
หนึ่งในแข้งเปรูที่ได้ลงสนามนัดนี้ แม้จะเป็นแค่ตัวสำรองก็คือ เปาโล เกร์เรโร่ กองหน้าจากสโมสร ฟลาเมนโก้ ซึ่งหวุดหวิดจะช่วยทีมตีเสมอได้ในช่วงท้ายเกม โดยกรณีของเกร์เรโร่นั้น การลงสนามในเวิลด์คัพครั้งนี้กล่าวได้ว่าเป็นโอกาสที่ 2 หรือ 3 ในชีวิตด้วยซ้ำ
ช่วง 8 เดือนก่อนฟุตบอลโลกเปิดฉาก ถือเป็นช่วงเวลาแห่งวิบากกรรมสำหรับแข้งวัย 34 ปีอย่างยิ่ง เริ่มจากผลตรวจปัสสาวะของเขาไม่ผ่านการตรวจสารต้องห้ามในเดือนตุลาคมปี 2017 โดยพบสารเบนซอยเลคโกนีน (benzoylecgonine) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยาเสพติดประเภทโคเคน
ตัวเกร์เรโร่ยืนยันหนักแน่นว่าเขาไม่ได้โด๊ปยาแน่นอน และสารต้องห้ามที่พบนั้นเป็นสารปนเปื้อนจากการดื่มชาสมุนไพรเท่านั้น
ต้องย้อนความสักนิดว่า ในแถบอเมริกาใต้มีพืชพื้นเมืองชนิดหนึ่งเรียกว่า ต้นโคคา ซึ่งใบโคคานี้จะถูกนำไปใช้ในการผลิตสารโคเคน อย่างไรก็ตาม ชาวละตินอเมริกานิยมเคี้ยวใบโคคาสดๆ แทนสมุนไพรโดยเชื่อว่ามีฤทธิ์ในการรักษาโรคพื้นฐาน และออกฤทธิ์ใกล้เคียงกับการดื่มกาแฟเข้มๆ โดยการทานใบโคคาสดๆ ที่ไม่ได้ผ่านการแปรรูปไม่ถือว่าผิดกฎหมายของพื้นที่แถบนั้นแต่อย่างใด
เกร์เรโร่ชี้แจงว่า วันนั้นเขามีอาการไข้หวัดใหญ่ เจ้าหน้าที่ทีมจึงให้ดื่มชาสมุนไพร 2 ชนิดซึ่งอาจมีใบโคคาปนอยู่ด้วย อย่างไรก็ตาม สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ยังไม่รับฟังคำชี้แจงดังกล่าว ทำให้เกร์เรโร่พลาดโอกาสลงเล่นเกมสำคัญช่วงโค้งสุดท้ายของรอบคัดเลือกโซนอเมริกาใต้และในเกมเพลย์ออฟกับ นิวซีแลนด์
กัปตันทีมชาติเปรูตัดสินใจสู้ต่อด้วยการยื่นอุทธรณ์กับฟีฟ่า ซึ่งในการไต่สวนเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ทนายความของเกร์เรโร่พยายามชี้ให้เห็นถึงข้อแตกต่างระหว่างการเสพโคเคนกับการทานใบโคคาสดๆ ซึ่งตอนนั้นเองที่ มัมมี่ อายุกว่า 500 ปี ของเด็กๆ ชาวอินคา 3 คนซึ่งถูกแช่แข็งบริเวณเทือกเขาพรมแดนระหว่างชิลีกับอาร์เจนตินาเข้ามามีบทบาทสำคัญ
ทนายของเกร์เรโร่เบิกคำให้การจากนักชีวเคมีของมหาวิทยาลัยรีโอเดจาเนโร ระบุว่า สารเบนซอยเลคโกนีนที่พบในปัสสาวะของเกร์เรโร่มีปริมาณและความเข้มข้นแบบเดียวกับคนที่ดื่มชาสมุนไพรใบโคคา และไม่เหมือนกับคนที่เสพโคเคน
นอกจากนี้ยังมีไม้เด็ดจาก ชาร์ลส์ สตานิช นักโบราณคดีชาวอเมริกันของมหาวิทยาลัยเซาธ์ฟลอริดา ผู้เชี่ยวชาญเรื่องวัฒนธรรมอินคา มาช่วยยืนยันอีกหนึ่งปาก
สตานิชบอกว่า ใบโคคานั้นเป็นที่แพร่หลายในเปรูมายาวนานแล้ว และผลการวิเคราะห์เส้นผมของมัมมี่เด็กๆ อินคาซึ่งถูกขุดพบที่เทือกเขาญูไญญาโก้เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ก็พบสารเบนซอยเลคโกนีน แบบเดียวกับที่พบในปัสสาวะของเกร์เรโร่เป๊ะๆ!
นักกฎหมายโยงข้อเท็จจริงเหล่านี้เข้าด้วยกัน พร้อมโยนคำถามกลับไปยังฟีฟ่าว่า มัมมี่อายุกว่า 500 ปี จะมีสารเบนซอยเลคโกนีนในระบบเพราะโคเคนได้อย่างไรถ้าไม่ใช่เพราะทานใบโคคาแบบชาวละตินอเมริกาทั่วไป ในเมื่อสารดังกล่าวเพิ่งถูกค้นพบโดยนักเคมีชาวเยอรมันเมื่อปี 1859 เท่านั้น!?!
ไม่ว่าข้อเท็จจริงนี้จะเป็นประเด็นสำคัญของการโต้แย้งหรือไม่ แต่สุดท้ายแล้วฟีฟ่าก็ยอมลดหย่อนโทษของเกร์เรโร่จาก 12 เดือนเหลือ 6 เดือน เปิดช่องให้เขากลับมาลงเล่นได้อีกครั้งในเดือนเมษายน
แต่ทุกอย่างกลับไม่จบง่ายๆ เมื่อ องค์กรต่อต้านสารต้องห้ามโลก (วาด้า) ยื่นเรื่องไปยัง ศาลอนุญาโตตุลาการกีฬาโลก (ซีเอเอส) ให้ลงโทษเกร์เรโร่ 1-2 ปีตามกฎ ซึ่งซีเอเอสมีคำตัดสินก่อนหน้าบอลโลกจะเปิดฉาก 1 เดือนว่า แข้งฟลาเมนโก้ต้องชดใช้โทษ 14 เดือนซึ่งจะทำให้เขาหมดสิทธิเตะเวิลด์คัพทันที
เนื่องด้วยคำสั่งของซีเอเอสถือเป็นที่สุดของโลกกีฬา ฟีฟ่าจึงไม่มีสิทธิขัดขืน แม้ว่ากัปตันทีมร่วมกลุ่มซี ทั้ง อูโก้ โยริส ของฝรั่งเศส, ไมล์ เยดินัก ของออสเตรเลีย และ ไซม่อน ชาร์ ของเดนมาร์ก จะร่วมส่งจดหมายเปิดผนึกขอร้องให้กัปตันทีมคู่แข่งได้ลงเล่นก็ตาม
เปรูดิ้นเฮือกสุดท้ายด้วยการยื่นอุทธรณ์กับศาลยุติธรรมประเทศสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งมีอำนาจพลิกคำตัดสินของซีเอเอสได้ เนื่องจากซีเอเอสเป็นองค์กรหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในนครโลซานน์ ต้องทำตามคำสั่งของศาลสูงสวิส และทนายของเกร์เรโร่ก็เบิกความนักโบราณคดีในประเด็นเรื่องมัมมี่อีกครั้ง
สุดท้ายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2 สัปดาห์ก่อนหน้าบอลโลกคิกออฟ ศาลสวิสมีคำตัดสินให้ยกเลิกบทลงโทษเกร์เรโร่ชั่วคราวช่วงบอลโลก ซึ่งซีเอเอสไม่ได้โต้แย้งใดๆ กองหน้าวัย 34 ปีจึงได้ไปเหยียบแผ่นดินรัสเซียเพื่อรับใช้บ้านเกิดสมดังหวัง
แต่ที่สุดแล้วหลังจากผ่านวิบากกรรมมามากมาย เปรูกับเกร์เรโร่จะไปได้ไกลขนาดไหน คงต้องมาติดตามกันอีกที