จะเกิดอะไร ถ้า “วีเออาร์” มาเร็วกว่านี้?

หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงสำคัญที่เกิดขึ้นกับ ฟุตบอลโลก 2018 ที่ผิดแผกไปจากเมื่อครั้งที่ผ่านๆ มา ก็คือการนำระบบการรีเพลย์ภาพวิดีโอช่วยตัดสิน หรือ “วีเออาร์” (VAR) มาใช้

วีเออาร์มีบทบาทสำคัญในการตัดสินจังหวะชี้เป็นชี้ตายในเกมหลายนัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิจารณาว่ากรรมการควรจะเป่าให้เป็นลูกโทษที่จุดโทษหรือไม่

ขั้นตอนการพิจารณาภาพวิดีโอจากห้องปฏิบัติการก่อนส่งสัญญาณถึงเชิ้ตดำในสนามอาจกินเวลาเกือบนาที แต่ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ก็พยายามให้เกมดำเนินไปอย่างคล่องตัวที่สุดเท่าที่จะทำได้

แม้ว่าการแข่งขันอาจจะหยุดชะงักหรือเกิดความสับสนเล็กๆ จนน่าหงุดหงิดอยู่บ้าง หลายคนก็มองว่าการตัดสินที่ถูกต้องถือเป็นการ “ชดเชย” ที่คุ้มค่า

Advertisement

และทำให้หลายนคนอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า ถ้าวีเออาร์เกิดเร็วกว่านี้สักหน่อย จนได้ใช้ในเวิลด์คัพหนก่อนๆ หน้า

…ประวัติศาสตร์วงการลูกหนังโลกจะเปลี่ยนไปบ้างหรือไม่?

อาร์เจนตินา VS อังกฤษ
(ที่เม็กซิโก ปี 1986)
เกมเตะรอบก่อนรองชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 1986 ระหว่าง “สิงโตคำราม” กับ “ฟ้า-ขาว” เมื่อ 32 ปีก่อน คงไม่มีอะไรจะใหญ่ไปกว่ากรณีฉาวอย่าง “หัตถ์พระเจ้า” ของ ดีเอโก้ มาราโดน่า อีกแล้ว!
นาทีที่ 51 ของการแข่งขัน ขณะที่สองฝ่ายเสมอกัน 0-0 “เสือเตี้ย” ตำนานแข้งฟ้า-ขาว กระโดดขึ้น “โหม่ง” บอลเหนือการชกลูกของ ปีเตอร์ ชิลตัน เข้าประตู ทั้งที่เขาเตี้ยกว่าชิลตันถึง 20 เซนติเมตร
อีก 4 นาทีถัดมา มาราโดน่ายิงลูกที่สวยที่สุดลูกหนึ่งในประวัติศาสตร์ลูกหนังโลก หลังจากล็อกหลบผู้เล่นสิงโตคนแล้วคนเล่าเข้าไปส่งลูกตุงตาข่ายให้ทีมนำ 2-0 และอังกฤษมาตีไข่แตกช่วงท้ายเกมจาก แกรี่ ลินีเกอร์ ก่อนเกมลงเอยด้วยชัยชนะของฟ้า-ขาว 2-1 ก่อนจะก้าวไปคว้าแชมป์ในปีนั้น
หากวีเออาร์เกิดทันเหตุการณ์ดังกล่าว กรรมการชาวตูนิเซียที่บอกว่าไม่เห็นจังหวะใช้มือของมาราโดน่าก็จะไม่ต้องงงกับเหตุการณ์นี้ และคงไม่มีประตูดังกล่าวเกิดขึ้น ซึ่งไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนรูปโฉมเกมนั้นไปอย่างไร

Advertisement

บราซิล VS เนเธอร์แลนด์
(ที่สหรัฐอเมริกา ปี 1994)
หนึ่งในเกมคลาสสิกที่สุดของทัวร์นาเมนต์เกิดขึ้นในรอบก่อนรองชนะเลิศ ตลอดเกมเป็นไปอย่างสนุกเข้มข้น เริ่มจากแข้ง “แซมบ้า” นำ 2-0 จาก โรมาริโอ และ เบเบโต้ ก่อนที่ เดนนิส เบิร์กแคมป์ และ อารอน วินเทอร์ จะตีเสมอให้ทีมอัศวินสีส้ม
กระทั่งนาทีที่ 81 บรังโก้ แบ๊กซ้ายบราซิเลียนก็ดับฝันแข้งดัตช์เมื่อซัดฟรีคิกอ้อมกำแพงเข้าไปตุงตาข่าย
อย่างไรก็ตาม ถ้ามีการนำวีเออาร์มาใช้ ทีมแซมบ้าอาจจะไม่ได้ลูกฟรีคิกตั้งแต่แรกก็ได้ เนื่องจากจังหวะก่อนหน้านั้น บรังโก้เพิ่งจะทำฟาวล์ใส่ มาร์ค โอเวอร์มาร์ส ปีกกังหันอย่างรุนแรง แต่รอดตัวไม่โดนเป่า
ถ้าไม่มีฟรีคิกลูกนั้นเกิดขึ้น ก็ไม่แน่ว่าเกมนี้อาจยืดเยื้อถึงช่วงต่อเวลาพิเศษก็ได้

สเปน VS อิตาลี
(ที่สหรัฐอเมริกา ปี 1994)
ในการแข่งขันรอบก่อนรองชนะเลิศอีกคู่หนึ่งจากเวิลด์คัพหนเดียวกัน อิตาลีเฉือนชัยสเปนไปหวุดหวิด 2-1 ช่วงท้ายเกมของแมตช์นั้น ขุนพลกระทิงดุเปิดเกมบุกบดบี้อัซซูรี่หวังทำประตูตีเสมอ กระทั่งเกิดเหตุการณ์ดราม่า เมื่อ หลุยส์ เอ็นริเก้ พยายามจะขึ้นเล่นบอลในกรอบเขตโทษ แต่โดน เมาโร ทัสซอตติ แบ๊กขวาของอิตาลีตีศอกใส่จนเลือดอาบ
ถ้ามีการย้อนชมภาพรีเพลย์ ยังไงจังหวะนั้นก็ต้องเป็นลูกจุดโทษ แถมทัสซอตติน่าจะโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม แต่ผู้ตัดสินชาวฮังกาเรียนกับผู้ช่วยต่างยืนกรานว่าไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และปล่อยให้เกมดำเนินต่อไปจนจบ
กว่าที่ทัสซอตติจะมาโดนลงโทษจริงๆ ก็หลังจากฟีฟ่าพิจารณาเทปย้อนหลังในเวลาต่อมา โดยลงดาบแบน 8 นัด จนเขาพลาดโอกาสลงเล่นนัดชิงชนะเลิศกับบราซิล และอัซซูรี่พ่ายไปในการดวลจุดโทษฉิวเฉียด

เกาหลีใต้ VS สเปน
(ที่ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ ปี 2002)
ใครทันดูเกมรอบ 16 ทีมสุดท้าย ระหว่างเจ้าบ้าน “โสมขาว” กับ “กระทิงดุ” เมื่อ 16 ปีที่แล้ว คงไม่ลืมสารพัดคำตัดสินค้านสายตาของ กามาล กันดูร์ เชิ้ตดำชาวอียิปต์ ทั้งเป่าไม่ให้ 2 ประตูที่สเปนยิงเข้าไปแบบหน้าตาเฉย แถมยังจับล้ำหน้าแข้งกระทิงแบบงงๆ อีกหลายครั้ง
สุดท้ายเกมลงเอยด้วยการเสมอ 0-0 ในเวลา 120 นาที จนเจ้าภาพดวลจุดโทษชนะ ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
อันที่จริงในแมตช์รอบ 8 ทีมสุดท้ายก่อนหน้านั้น ก็มีประเด็นให้วิพากษ์วิจารณ์เช่นกัน เมื่อ ฟรานเชสโก้ ต๊อตติ ดาวเตะอัซซูรี่โดนใบเหลืองที่ 2 จากจังหวะพุ่งล้ม เป็นใบแดงไล่ออกจากสนาม และเจ้าภาพเป็นฝ่ายคว้าชัย 2-1

เนื่องด้วยความผิดพลาดเกิดจากตัวกรรมการเอง จึงไม่แน่ใจเหมือนกันว่าต่อให้มีวีเออาร์แล้ว จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรือไม่
แต่ที่แน่ๆ ถ้าโซเชียลมีเดียแพร่หลายในตอนนั้น คงมีแฮชแท็กแซวกรรมการกับโสมขาวผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดแน่นอน!

บราซิล VS โครเอเชีย
(ที่บราซิล ปี 2014)
นัดเปิดสนาม ฟุตบอลโลก 2014 ที่เมืองเซาเปาโล เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ไม่ได้สวยหรูอย่างที่เจ้าภาพ บราซิล คาดหวังไว้ เมื่อตกเป็นฝ่ายตามหลังโครเอเชีย 0-1 ตั้งแต่ 10 นาทีแรก หลัง มาร์เซโล่ พลาดทำลูกเข้าประตูตัวเอง
แม้ว่า เนย์มาร์ จะตีเสมอได้ในเวลาต่อมา แต่ภาพรวมของเกมก็ยังมองว่าทีม “ตาหมากรุก” นั้นเหนือกว่า
กระทั่งนาทีที่ 70 ของการแข่งขัน เฟร็ด กองหน้าเจ้าถิ่นโดน เดยัน ลอฟเรน “สะกิด” ล้มในกรอบเขตโทษ เป็นลูกจุดโทษที่เนย์มาร์สังหารเข้าไป ก่อนที่ ออสการ์ จะมาทำประตูปิดท้ายในช่วงทดเจ็บให้เจ้าภาพเก็บชัยสมใจ

อย่างไรก็ตาม จังหวะฟาวล์ในกรอบเขตโทษของเฟร็ดนั้น ถ้ากรรมการได้ดูภาพช้าจากวีเออาร์แล้วละก็ อาจจะเปลี่ยนใจไม่เป่าให้เป็นจุดโทษเสียก็ได้

และงานของบราซิลก็อาจจะยากขึ้นกว่าเดิมอีกเยอะ!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image