‘จอดรถบัส-ตามตื๊อ-ทีมแตก’ สาเหตุหลักที่ทีมใหญ่ไม่เปรี้ยง

ฟุตบอลโลก 2018 มีเกมพลิกโผเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะทีมใหญ่ที่เริ่มต้นกันได้ไม่น่ารักเท่าที่ควร เยอรมนี แพ้ เม็กซิโก แบบสุดช็อก 0-1 ถือเป็นความพ่ายแพ้ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทีมอินทรีเหล็กต่อทีมจังโก้ในฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายด้วย

บราซิล ที่เป็นเต็งแชมป์มาทุกฟุตบอลโลก มาคราวนี้ก็เปิดตัวน่าผิดหวัง เสมอ สวิตเซอร์แลนด์ 1-1 แต่ก็ไม่มีทีมไหนน่าตกใจเท่า อาร์เจนตินา รองแชมป์เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ลงเล่นไปแล้ว 2 แมตช์ นัดแรกเสมอ ไอซ์แลนด์ ที่เข้ามาเล่นฟุตบอลโลกครั้งแรก 1-1 และนัดล่าสุด โดน โครเอเชีย ขยี้เละ 3-0 โอกาสตกรอบแรก เปิดกว้างจริงๆ

คำว่าทีมใหญ่ในที่นี้ อาจจะไม่ใช่แค่ว่าเคยเป็นแชมป์โลกมาก่อน แต่เพราะมีสตาร์ล้นทีม ลิโอเนล เมสซี่ เพิ่งเป็นแชมป์ลาลีก้า สเปน กับ บาร์เซโลน่า, อังเคล ดิมาเรีย เป็นดับเบิลแชมป์กับ **ปารีส แซงต์แชร์แมง** ในฝรั่งเศส, เซร์คิโอ อากูเอโร่ ได้ทั้งแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ และลีกคัพ กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, เปาโล ดีบาล่า ได้ทั้งแชมป์กัลโช่ เซเรียอา อิตาลี และโคปป้า อิตาเลีย กับ ยูเวนตุส มาหมาดๆ แต่เมื่อมาร่วมเล่นกันเป็นทีม สภาพกลับเละเทะ

Advertisement

เซบาสเตียน เฟสต์ นักข่าวของลา นาซิออง หนังสือพิมพ์ดินแดนฟ้า-ขาว แสดงทรรศนะผ่านหน้ากระดาษว่า “สิ่งที่แน่นอนคือ ทีมชาติชุดนี้ไม่ได้เล่นกันเป็นทีม และความแน่นอนอีกอย่างคือ ทีมชาติชุดนี้ไม่สามารถดึงศักยภาพของเมสซี่ออกมาได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรกับขึ้นในหัวของนักเตะหมายเลข 10 คนนี้ ที่ทำให้เกิดความสลดใจอย่างที่เห็น”

คนที่โดนวิจารณ์หนักที่สุดในทัพฟ้า-ขาวหนีไม่พ้นเมสซี่ เพราะจนถึงตอนนี้เขายิงประตูในฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายไม่ได้มาแล้ว 647 นาที นับแล้วมากกว่า 7 นัด ประตูสุดท้ายที่ยิงได้ในเวิลด์คัพ ต้องย้อนไปเมื่อปี 2014 ที่บราซิล ที่ยิง ไนจีเรีย คนเดียว 2 ตุง ในรอบแบ่งกลุ่ม สำหรับรอบแบ่งกลุ่ม ปี 2018 ที่เหลืออยู่ของอาร์เจนตินา ก็จะเจอกับไนจีเรียอีกครั้ง ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

Advertisement

ความพ่ายแพ้ 0-3 ต่อโครเอเชีย ถือเป็นการปราชัยที่ย่อยยับที่สุดอันดับ 2 ของอาร์เจนตินาในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย เป็นรองเพียงการแพ้ เชกโกสโลวาเกีย 1-6 ในฟุตบอลโลก 1958 ซึ่งปีนั้นทัพฟ้า-ขาวตกรอบแรกเป็นครั้งแรก

ฮอร์เก้ วัลดาโน่ อดีตนักเตะทีมชาติอาร์เจนตินาชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 1986 บอกว่า ลา อัลบิเซเลสเต้ เล่นเหมือนไม่มีเมสซี่อยู่ในทีม ตรงกับที่สื่อในประเทศก็คิดและรายงานกันออกมาแบบนั้น

อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นข้อสังเกต คือ เมสซี่มักจะแสดงอาการผิดหวัง ท้อแท้ ก้มหน้า เหนื่อยอ่อน ในช่วงที่ทีมโดนนำหรือยิงยังไงก็ไม่ได้ประตู

เฮอร์มัน เคล้าส์ ของหนังสือพิมพ์ “โอเล่” แสดงทรรศนะว่า เมสซี่ไม่ได้แสดงความเป็นผู้นำตั้งแต่ที่เกมยังเสมอ 0-0 แล้ว ไปจนถึงจบเกม พยายามมองหาอะไรที่ไม่ได้อยู่ในสนาม ดิบาล่า กับ คริสเตียน ปาวอน ถูกส่งลงมาช้าเกินไป เมสซี่หมดความเจิดจ้าในสนาม สิ่งที่เห็นได้ชัดกว่าตัวเขา เป็นรองเท้าสตั๊ดเขียวๆ ของเขามากกว่า

เชสก์ ฟาเบรกาส อดีตนักเตะสเปนชุดแชมป์โลก 2014 วิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ทีมใหญ่ๆ เล่นได้ไม่สมราคา ว่า เป็นเพราะเกมรับที่เหนียวแน่นของทีมเล็ก มีการส่งนักเตะมาประกบซุปเปอร์สตาร์แบบตัวต่อตัว เม็กซิโกให้นักเตะ 1 คนไล่บี้ โทนี่ โครส ของเยอรมนีทั้งเกม จนโครสแผลงฤทธิ์ไม่ออก วาลอน เบห์รามี่ มิดฟิลด์สวิตเซอร์แลนด์ ปิดตาย เนย์มาร์ สตาร์ดังบราซิลได้ทั้งเกม หรือบางทีมก็ใช้แนวรับ 6 คน ซึ่งไอซ์แลนด์ไม่ต้องส่งใครมาประกบเมสซี่ทั้งสิ้น แต่ใช้กองหลังจำนวนมากช่วยกันล้อมๆ ไว้ เมื่อเมสซี่รู้สึกว่าตัวเองเล่นได้ยากขึ้น ก็จะถอยลงต่ำไปเรื่อยๆ จนไม่มีโอกาสได้ยิงประตูในที่สุด ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าเกมรับในฟุตบอลโลกมีความสำคัญกว่าเกมรุกเสียอีก

อย่างไรก็ตาม ฟาเบรกาสมองว่าความพ่ายแพ้ของอาร์เจนตินาต่อโครเอเชียต่างออกไปจากคู่อื่นๆ ที่พลิกล็อก
“ผมว่าสาเหตุที่อาร์เจนตินาแพ้โครเอเชีย ไม่ใช่ความผิดของเมสซี่ หรือการเน้นเกมรับของโครเอเชีย แต่มันเป็นเพราะอาร์เจนตินาเล่นไม่เป็นทีม ไม่มีนักเตะคุณภาพเจ๋งๆ อยู่ข้างหลังเมสซี่ เวลาที่เขาต้องการใครสักคนที่จะสร้างเกมรุกไปข้างหน้าด้วยกัน”

ฟุตบอลโลกครั้งนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าฟุตบอลต้องการการเล่นเป็นทีม และไม่ได้มีแต่เกมรุกเพียงอย่างเดียว เกมรับก็เป็นปัจจัยสำคัญในความสำเร็จอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกเรื่องที่คงจะเห็นชัดเจนกันอีกครั้ง คือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ พึ่งพาได้มากกว่าเมสซี่ ในยามที่ทีมต้องการชัยชนะ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image