เมื่อพิษการเมืองเล่นงาน “โอซิล”

กลายเป็นข่าวฮือฮาแต่ไม่ถึงขั้นเหนือความคาดหมายเสียทีเดียว สำหรับการตัดสินใจประกาศอำลาทีมชาติของ เมซุต โอซิล เพลย์เมกเกอร์ “อินทรีเหล็ก” ทีมชาติเยอรมนี หลังจากแชมป์โลกปี 2014 ตกรอบแรกแบบช็อกโลกใน ฟุตบอลโลก 2018 ที่เพิ่งปิดฉากไป

โอซิลให้เหตุผลที่ตัดสินใจอำลาทีมชาติแบบปุบปับในครั้งนี้ว่า เป็นเพราะทนไม่ได้กับกระแสโจมตีในเชิงเหยียดหยามที่ลามปามถึงขั้นเหยียดเชื้อชาติซึ่งเขาโดนมาตั้งแต่ก่อนทัวร์นาเมนต์ที่รัสเซียจะเปิดฉาก

วิบากกรรมที่โอซิลต้องเผชิญนี้เป็นผลสืบเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ซึ่งโอซิลกับ อิลคาย กุนโดกัน สองนักเตะทีมชาติเยอรมนีที่ต่างมีเชื้อสายตุรกีและค้าแข้งในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้เข้าพบ มอบเสื้อ และถ่ายรูปกับ เรเจพ เทยิพ แอร์โดอาน ประธานาธิบดีของตุรกีขณะแอร์โดอานไปเยือนกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อเดือนพฤษภาคม

ต่อมาทางพรรคเอเคพีของแอร์โดอานได้นำภาพดังกล่าวมาเผยแพร่ พอดีกับช่วงสำคัญก่อนการเลือกตั้งใหญ่ของประเทศตุรกี ชาวเยอรมันจำนวนหนึ่งจึงมองว่า โอซิลและกุนโดกันถูกใช้เป็นเครื่องมือในการหาเสียงให้กับแอร์โดอาน

Advertisement

ยิ่งสหภาพยุโรป (อียู) ที่เยอรมนีเป็นเหมือน “พี่ใหญ่” กำลังมีท่าทีมึนตึงกับแอร์โดอานเนื่องด้วยวิธีการบริหารประเทศแบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ ยิ่งทำให้การพบปะเล็กๆ ครั้งนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา

สื่อและชาวเยอรมันจำนวนไม่น้อยวิจารณ์โอซิลกับกุนโดกันเรื่องการแสดงออกทางการเมือง ส่วน ไรฮาร์ด กรินเดล ประธานสหพันธ์ฟุตบอลเยอรมนี (เดเอฟเบ) ก็แถลงผ่านทวิตเตอร์ว่า เคารพในชีวิตส่วนตัวของแต่ละคน แต่ไม่เห็นด้วยที่มีนักเตะทีมชาติไปยุ่งเกี่ยวกับแคมเปญหาเสียงของประธานาธิบดีตุรกี

พอเรื่องราวเริ่มบานปลาย กุนโดกันจึงต้องออกแถลงการณ์ยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาจะแสดงออกทางการเมืองแต่อย่างใด พร้อมชี้แจงว่าการถ่ายรูปกับแอร์โดอานไม่ได้หมายความว่าไม่ยอมรับในตัวผู้นำประเทศเยอรมนีอย่าง อังเกลิค แมร์เคิล ด้วย

Advertisement

พอถึงช่วงเก็บตัวทีมชาติก่อนศึกฟุตบอลโลก เมื่อกุนโดกันและโอซิลลงสนาม ก็จะมีแฟนบอลอินทรีเหล็กโห่นักเตะทั้งสองของตัวเองทุกครั้งที่จับบอล จน โยอาคิม เลิฟ บุนเดสเทรนเนอร์ต้องออกมาขอร้องให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าวเพราะมีแต่ผลเสียและไม่เกิดประโยชน์ใดๆ โดยระบุว่า อะไรที่เกิดขึ้นแล้วไปเรียกกลับคืนไม่ได้ ถือเป็นบทเรียนของทั้งคู่ และขอให้ทุกคนก้าวต่อไป

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงหลังจากเยอรมนีโชว์ฟอร์มได้น่าผิดหวังจนตกรอบแรกฟุตบอลโลกในฐานะทีมบ๊วยของกลุ่ม โอซิลซึ่งเป็นตัวหลักในทีมและทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐานจึงยิ่งกลายเป็นเป้าวิจารณ์และด่าทออย่างรุนแรง

หลังอินทรีเหล็กตกรอบ โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟฟ์ ผู้จัดการทั่วไปของทีมชาติเยอรมนี ออกมาใหัสัมภาษณ์สื่อว่า ปกติสหพันธ์จะไม่กะเกณฑ์หรือบังคับว่านักเตะต้องทำอะไร แต่ก็พยายามจะแนะนำวิธีการรับมือในสถานการณ์ต่างๆ แต่กลับไม่เป็นผลในกรณีของโอซิล

เบียร์โฮฟฟ์ยังสื่อเป็นนัยๆ ว่าพยายามแนะหว่านล้อมให้โอซิลออกมาขอโทษตั้งแต่ก่อนเริ่มบอลโลก แต่ไม่เป็นผล เมื่อคิดถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นแล้ว โอซิลอาจไม่ควรติดทีมไปบอลโลกด้วยซ้ำ

ต่อมา เบียร์โฮฟฟ์ต้องออกมาขอโทษต่อความคิดเห็นดังกล่าว โดยระบุว่าอาจจะใช้คำพูดไม่ตรงกับที่อยากจะสื่อนักจนเกิดการเข้าใจผิด และยืนยันว่าไม่ได้พูดว่าเลิฟคิดผิดที่เลือกโอซิลไปลุยบอลโลก

ที่น่าสนใจคือ ตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อกลางเดือนพฤษภาคม นักเตะ 2 คนซึ่งกลายเป็นประเด็นทอล์อก ออฟ เดอะ ทาวน์นั้น มีเพียงกุนโดกันที่ออกมาชี้แจงอยู่ 2-3 ครั้ง ขณะที่โอซิลเก็บเนื้อเก็บตัว เลี่ยงที่จะแสดงความคิดเห็นใดๆ จนประธานเดเอฟเบออกมาตำหนิผ่านสื่อว่า แฟนๆ จำนวนมากรู้สึกผิดหวังที่เขาไม่ยอมออกมาชี้แจงหรือตอบคำถามคาใจใดๆ กับแฟนๆ เลย

สุดท้ายเมื่อสัปดาห์ก่อน โอซิลซึ่งนิ่งเงียบมาตลอดจึงต้องออกมาระบายความอัดอั้นตันใจเป็นจดหมายเปิดผนึกผ่านอินสตาแกรม เนื้อความโดยสรุปว่า ตนมีหัวใจสองดวง ดวงหนึ่งคือความรักในเยอรมนี สถานที่ที่เติบโตขึ้นมา แต่ขณะเดียวกันก็ยังจดจำคำสอนของแม่ที่ย้ำว่าไม่ให้ลืมรากเหง้าเชื้อสายตุรกีของตัวเอง จึงยังคงรักและผูกพันในประเทศต้นกำเนิดของตัวเองเช่นกัน

โอซิลบอกว่า ได้พบกับแอร์โดอานเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2010 และได้เจอกันตามวาระต่างๆ อีกหลายครั้ง หนล่าสุดที่ประเทศอังกฤษนั้น ตนไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นใดนอกจากการแสดงความเคารพต่อผู้นำสูงสุดของประเทศแม่ของตัวเองเท่านั้น พร้อมยืนยันว่าไม่เคยแสดงออกในเชิงการเมืองแต่อย่างใด เพราะงานหลักของตนคือการเป็นนักฟุตบอล และไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นแบบไหน ตนก็ยังจะถ่ายรูปดังกล่าวอยู่ดี

แข้งหนุ่มยังตัดพ้อเรื่องที่โดนสื่อเมืองเบียร์โจมตีอย่างหนัก ทั้งยังพยายามสร้างภาพจำที่ต่างจากความเป็นจริง รวมถึงแสดงอาการน้อยใจที่ตกเป็นจำเลยของสังคมอย่างไม่เป็นธรรม แถมยังโดนล้อเลียนแบบสนุกปากลามปาม

เมื่อรู้สึกว่าไม่สามารถสวมชุดทีมชาติด้วยความภาคภูมิใจได้เหมือนเดิมอีกต่อไป โอซิลจึงประกาศข่าวช็อกว่าจะอำลาทีมอินทรีเหล็กในที่สุดเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา

การที่นักเตะฝีเท้าดีคนหนึ่งอำลาทีมชาติขณะอายุเพียง 29 ปี ทำให้แฟนบอลจำนวนมากออกอาการเสียดายและเสียใจ นักการเมืองบางคนกระตุ้นให้สังคมกลับมาทบทวนเรื่องการแสดงออกทางความคิดที่ล้ำเส้นจนนำไปสู่การเหยียดเชื้อชาติ

แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่มองว่านี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย ดีกว่าปล่อยให้อะไรๆ คาราคาซัง เพราะฝั่งโอซิลกับกุนโดกันก็น่าจะได้รับบทเรียนในฐานะบุคคลสาธารณะ ให้ต้องคิดให้เยอะและรอบด้านขึ้นก่อนจะทำอะไรแม้ว่าจะไม่ได้มีเจตนาเชิงลบแม้แต่น้อยก็ตาม

นอกจากความเห็น 2 ทิศทางดังกล่าวแล้ว ก็ยังมี อูลี่ เฮอเนส ประธานสโมสรบาเยิร์น มิวนิก ทีมดังแห่งลีกเมืองเบียร์ที่ออกมาให้สัมภาษณ์สวนกระแสว่า โอซิลแค่อาศัยสถานการณ์นี้หาทางลงสวยๆ ให้ตัวเอง โดยเอาประเด็นที่โดนสังคมวิจารณ์บังหน้าเพื่อกลบปัญหาเรื่องฟอร์มการเล่นย่ำแย่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา

…เรียกว่าถึงจะเลือกเดินจากมาแบบช้ำๆ แล้ว ก็ยังไม่วายกลายเป็นประเด็นโดนวิจารณ์แรงๆ อยู่ดี!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image