‘สหวิช ขำเปี่ยม’ ลูกไม้ใต้ต้นของตำนานทีมชาติไทย

ชัยยงค์ ขำเปี่ยม คือชื่อที่แฟนฟุตบอลไทยต่างคุ้นหู เขาคือหนึ่งในยอดผู้รักษาประตูระดับตำนานทีมชาติไทย ครั้งหนึ่งเคยสร้างประวัติศาสตร์คว้าอันดับ 4 ในเอเชี่ยนเกมส์ 2 ครั้ง ที่ประเทศจีนในปี 2533 และ 2541 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ

แม้จะแขวนสตั๊ดไปนาน แต่ทุกวันนี้เรายังคงได้ยินนามสกุล ขำเปี่ยม บ่อยครั้ง เมื่อลูกชายอย่าง “เยี่ยม” สหวิช ขำเปี่ยม เดินตามเส้นทางผู้เป็นพ่อโลดแล่นอยู่ในวงการลูกหนัง ไต่เต้าจากอคาเดมี เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ก่อนจะออกไปเก็บประสบการณ์ลูกหนังกับ นนทบุรี เอฟซี ได้เล่นในโตโยต้า ไทยลีก 2018 กับ แอร์ฟอร์ซ เซ็นทรัล เอฟซี ก่อนจะตกชั้น และเลือกไปเก็บประสบการณ์ใน M-150 แชมเปี้ยนชิพ กับ เกษตรศาสตร์ เอฟซี

ฤดูกาล 2020 เขากลับสู่ลีกสูงสุดอีกครั้งในฐานะผู้รักษาประตูสโมสรสุพรรณบุรี เอฟซี ที่เพิ่งลงเฝ้าเสาพาทีมเก็บคลีนชีทสองเกมติดต่อกัน

 

Advertisement

 

 

Advertisement

ทว่าเส้นทางที่ผ่านมาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ต้องล้มลุกคลุกคลานเจออุปสรรคมากมาย แต่เขาใช้ทักษะฝีมือที่คุณพ่อคอยปลูกฝังรวมทั้งคำสอนเป็นสิ่งนำทางจนมาถึงวันที่ก้าวเป็นผู้เล่นระดับไทยลีกอย่างเต็มภาคภูมิ…

“ตอนเด็กๆก็เคยมีอยู่แล้วครับเรื่องโดนเปรียบเทียบกับคุณพ่อ” สหวิช เรอ่มกล่าวถึงเสียงคนรอบข้างที่นำเขาเปรียบเทียบกับผู้เป็นพ่อ ซึ่งเป็นอดีตนายด่านตำนานทีมชาติไทย

สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติที่ลูกชายผู้มีคุณพ่อเป็นถึงยอดแข้งวงการลูกหนังจะถูกนำมายกเปรียบเทียบ ทั้งยังถูกคาดหวังว่าวันหนึ่งจะเดินตามรอยเท้าผู้เป็นพ่อ และประสบความสำเร็จเหมือนกัน

“ยอมรับว่าตอนเด็กๆ มีกดดันบ้าง แต่พอโตมาผมมองว่าคำพวกนี้มันเป็นแรงผลักดันมากกว่า จริงๆ คุณพ่อเองไม่เคยบังคับว่าจะต้องเป็นนักฟุตบอลด้วยซ้ำ แต่วันหนึ่งเขาเห็นเราชอบก็เลยจับมาซ้อม ผมเล่นตำแหน่งผู้รักษาประตูมาตลอด พ่อจะสอนพื้นฐานประตูอย่างเดียวเลยไม่เคยสอนตำแหน่งอื่น”

ลีลาการป้องกันประตู ตลอดจนความมุ่งมั่นทุ่มเทเต็มร้อยยามอยู่ในสนามที่ ชัยยงค์ ขำเปี่ยม แสดงให้เห็นตลอดชีวิตการค้าแข้งเป็นสิ่งที่แฟนบอลจดจำได้ดี และเป็นความภาคภูมิใจที่ครั้งหนึ่งทีมชาติไทย เคยมีผู้รักษาประตูที่เก่งระดับเขา เช่นเดียวกับ เยี่ยม สหวิช ที่ภูมิใจในตัวคุณพ่อไม่ต่างกับคนอื่นๆ

“ผมรู้ว่าคุณพ่อเป็นอดีตทีมชาติไทยตั้งแต่สมัยเด็กๆ แล้ว ที่จำได้ดีสุดคือ เอเชี่ยนเกมส์ ที่ไทยเราเป็นเจ้าภาพ แต่ก็ไม่น่าทันได้ดูเขาเล่นทีมชาติ ทันแค่ตอนก่อนเขาเลิก ผมภูมิใจนะเวลาไปไหนจะมีแฟนบอลรุ่นเก่าๆ เข้ามาทักทายว่า โห สมัยก่อนพ่อนี่คือ สุดยอด ตัวเรารู้สึกภูมิใจไปด้วย”

 

 

 

ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคุณพ่อคลุกคลีกับฟุตบอลมาตั้งแต่เด็กๆ ทุกๆ วัน ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ เยี่ยม จะฝึกซ้อมกับพ่อ ส่วนวันธรรมดาจะทุ่มเวลาให้กับการเรียนหนังสือ ช่วงอายุได้ 13 ปี เขาเข้าสู่อคาเดมีฟุตบอล เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด แม้ได้รับการฝึกสอนจากสโมสร แต่ก็ยังซ้อมพิเศษกับคุณพ่อเสมอ ตัวเขาเองยอมรับว่าในบางครั้งเข้มข้นยิ่งกว่าการซ้อมกับสโมสร

ห้ามนั่ง ห้ามเท้าเอว ห้ามคุกเข่า ห้ามแสดงกริยาท่าทางว่าเหนื่อยให้คู่ต่อสู้เห็น ทุกครั้งที่ซ้อมห้ามเรียกพ่อ เพราะอยู่ในฐานะโค้ช กับผู้เล่น ทั้งหมดคือ ความเข้มงวดที่ ชัยยงค์ ขำเปี่ยม พยายามปลูกฝังในตัวลูกชาย นอกจากนี้มักใช้เวลาแต่ละวัน เล่าประสบการณ์ชีวิตที่เคยผ่านมาเพื่อให้มีเลือดนักสู้อยู่ตลอดเวลา และสิ่งที่ทำมาให้ ก็สามารถนำมาใช้ได้จริง

“พ่อเขาจะไม่บอกว่าเราต้องสู้อย่างไร แต่เขาจะเล่าให้ฟังเสมอว่า ชีวิตเคยผ่านความลำบากอะไรมาบ้าง ตั้งแต่เด็กๆ ใช้ชีวิตในชุมชมแออัด เดินเท้าจากบ้านไปซ้อมให้เราเห็นถึงความลำบาก และซึมซับเองพยายามปลูกฝังไปในตัวว่า เวลาเจออุปสรรคเราต้องผ่านมันไปให้ได้”

“2 ปีที่ผ่านมา ผมตัดสินใจลงไปเก็บประสบการณ์ในลีกล่าง ผมมองว่ามันคุ้มค่านะที่ทำให้ปีนี้สามารถสร้างโอกาสจนลงไปเล่นในลีกสูงอีกครั้ง ที่สำคัญคือสิ่งที่พ่อสอนหรือปลูกฝังผมมาก็ยังใช้ได้เสมอ ทั้งความเป็นนักสู้อย่ายอมแพ้ หลายๆ อย่างมันปรับใช้ได้จริงอย่างที่เขาพูด หรือบางทักษะที่ผมรู้สึกไม่ชอบในตอนซ้อมกับพ่อ แต่พอถึงวันหนึ่งก็เพิ่งรู้ว่า เออ มันใช้ได้จริงๆ นะ”

ย้อนกลับในฟุตบอล M-150 แชมเปี้ยนชิพ 2019 นัดที่ เกษตรศาสตร์ เอฟซี เปิดบ้านเอาชนะ อยุธยา ยูไนเต็ด 2-0 เกมดังกล่าว เยี่ยม ลงเฝ้าเสาเป็นตัวจริงให้ นาคามรกต เขาเป็นผู้เซฟจุดโทษสำคัญพาทีมทำคลีนชีทได้สำเร็จ หลังจบเกมดังกล่าวเขาปล่อยโฮออกมากลางสนามท่ามกลางแฟนบอลที่ส่งเสียงเชียร์ไม่หยุด
แต่น้ำตาในวันนั้นไม่ใช่เพราะเขาสามารถป้องกันจุดโทษให้ทีมได้ แต่เป็นน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาเพราะความภูมิใจที่เขามีต่อคุณพ่อ…

 

 

 

“วันนั้นที่เซฟจุดโทษได้ แฟนบอลตะโกนว่า ให้มันรู้ซะบ้างนี่ลูกชัยยงค์ ประโยคแค่นี้มันทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่า เมื่อก่อนพ่อเคยโชว์ฝีมือไว้ขนาดไหน พอเราเซฟลูกยากได้แบบนี้แฟนบอลก็เลยพูดถึงพ่อ แสดงว่าพ่อคือที่สุดในสมัยนั้นแล้ว ผมดีใจนะที่มีคนพูดถึงแบบนี้”

ฤดูกาล 2020 ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีของเยี่ยม เขายอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะการตัดสินใจลงไปเก็บประสบการณ์ในลีกล่างที่ช่วยให้มีโอกาสลงสนามมากขึ้น กระทั่งกลับมาเล่นในสู่ลีกสูงสุดได้อีกครั้ง รวมถึงคำสอน และทักษะลูกหนังที่คุณพ่อคอยปลูกฝังก็เป็นสิ่งสำคัญที่พาเขาก้าวไปบนเส้นทางฟุตบอลอย่างมั่นคง
จนถึงวันนี้สิ่งที่คุณพ่อสอนกลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เรามาถึงตรงนี้ แต่จริงๆ ผมก็ไม่ได้มองว่าต้องเดินตามพ่อ ไม่ได้กดดันว่าต้องติดทีมชาติ พ่อก็เคยพูดติดตลกว่า ให้มันติดครั้งหนึ่งก็ยังดี ให้ได้ชื่อว่าเป็นอดีตทีมชาติ แต่จริงๆ พ่อก็ไม่ได้กดดันอะไรหรอก

พ่อจะบอกผมเสมอว่า เล่นฟุตบอลให้มีความสุข สนุกไปกับมันทำในสิ่งที่รัก นี่คือสิ่งที่เขาปลูกฝังผมมาตลอด ผมอยากเล่นไปเรื่อยๆ ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องได้เล่นทีมใหญ่ ส่วนจะได้ลงหรือไม่ได้ลง มันขึ้นอยู่กับฝีมือของเรา

ผมอยากจะเดินไปตามเส้นทางของผมเอง ทุกๆ วัน ผมแค่อยากจะลงไปในสนาม และเล่นฟุตบอลให้มีความสุขเท่านั้น…

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image