‘มีร์เซีย ลูเชสคู’ กุนซือที่ทวงคืนความสำเร็จ ภายใต้ความเกลียดชัง
ลองจินตนาการดูว่าถ้า เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หวนกลับมาทำงานโค้ชอีกครั้ง แต่เลือกที่จะไปอยู่กับลิเวอร์พูล หรือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กลับไปสเปน แต่เลือกคุมทัพรีล มาดริดแทน อะไรจะเกิดขึ้น บางคนบอกว่าจะมีโค้ชสักกี่คนที่กล้าจะข้ามฟากไปอยู่กับทีมคู่อริแบบนั้น แต่มันเกิดขึ้นแล้วกับ มีร์เซีย ลูเชสคู
ลูเชสคู กุนซือชาวโรมาเนีย คือผู้สร้างความสำเร็จให้กับ ชากห์ตาร์ โดเนตส์ หลุดออกจากร่มเงาของ ดินาโม เคียฟ ยอดทีมจากลีกยูเครน ตลอด 12 ปีที่เขาอยู่กับชากห์ตาร์ โดเนตส์ สร้างความเจ็บปวดให้กับดินาโม เคียฟ นับไม่ถ้วน
ก่อนอื่นมาดูความเป็นอริของชากห์ตาร์ และดินาโมกันก่อน ทั้งสองสโมสรก่อตั้งกันมาตั้งแต่สมัยที่ยูเครนยังเป็นสหภาพโซเวียต ยุคนั้นแต่ละรัฐของโซเวียต จะมีลีกของตัวเอง และมีทีมมหาอำนาจในแต่ละลีก เปรียบเสมือนตัวแทนทีมชาติหลังจากโซเวียตล่มสลายไปแล้วก็ว่าได้
ดินาโม ทบิลิซี จากจอร์เจีย, อารารัต เยเวาน จากอาร์เมเนีย, เนฟต์ชี่ บากู จากอาเซอร์ไบจาน, ดินาโม มินสก์ จากเบลารุส และดินาโม เคียฟ จากยูเครน ถึงแม้ในยูเครนจะมีทีมดีๆ อยู่ แต่ทาบรัศมีของดินาโม เคียฟได้ยาก โดยเฉพาะในยุคของ วาเลรี่ย์ โลบานอฟสกี้ กุนซือระดับตำนานของสโมสร
ยุคของโลบานอฟสกี้ ดินาโมได้แชมป์คัพ วินเนอร์สคัพ ปี 1986 นักเตะของดินาโม 12 คน ติดทีมสหภาพโซเวียตไปเล่นฟุตบอลโลก 1986 ซึ่งก็มาจากการที่เขาเป็นโค้ชในทีมโซเวียตอยู่แล้วด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่เขาถูกวิจารณ์อย่างมาก คือ โลบานอฟสกี้สามารถซื้อนักเตะคนไหนก็ได้ในลีกยูเครนมาร่วมทีมที่เขาคุมอยู่
ตั้งแต่ปี 1993-2004 ดินาโม เคียฟคว้าแชมป์ในประเทศ 11 รายการ แถมยังทำผลงานได้ดีในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกอีก แต่ความยิ่งใหญ่ของดินาโมก็หมดลง เมื่อในปี 1996 รินาต อัคเมตอฟ มหาเศรษฐีชาวยูเครน ใช้เงินมหาศาลเนรมิตรชากห์ตาร์ให้กลายเป็นยอดทีมได้ในพริบตา
จากทีมที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของดินาโม เคียฟมาก่อน กลายเป็นทีมที่แซงพวกเขาขึ้นไปอยู่สูงกว่าในเวลาไม่นาน และความสำเร็จของชากห์ตาร์ก็มาจากฝีมือของมีร์เซีย ลูเชสคู ที่เข้ามาอยู่กับทีมในปี 2004 นั่นเอง
ลูเชสคูมีประสบการณ์กับอินเตอร์ มิลาน ในกัลโช่ เซเรียอา อิตาลี และกาลาตาซาราย ในตุรกีมาแล้ว เมื่อเขามา แชมป์ลีกก็เปลี่ยนมือมาที่ชากห์ตาร์ทันที ตลอด 10 ปี เขาคว้าแชมป์ลีกกับชากห์ตาร์ 8 สมัย เป็นแชมป์บอลถ้วยในประเทศ 5 ครั้ง และแชมป์ยูฟ่า คัพ ปี 2009
สไตล์การทำทีมของดินาโม คือ ความเร็วและความฟิตของนักเตะ แต่ลูเชสคูนำการต่อบอลสั้นมาเป็นจุดเด่นในการต่อกร นักเตะบราซิลนับไม่ถ้วนถูกดึงมาสู่ทีม จนสุดท้ายดินาโม เคียฟ ก็ถูกเขย่าบัลลังก์แบบไล่ไม่ทัน
ในยุครุ่งเรือง ผลงานในสนามของชากห์ตาร์เหนือกว่า ลูเชสคูใช้ทุกโอกาสที่มีในการโจมตีคู่แข่งอย่างดินาโม เคียฟ ภาพที่เขาพยายามแสดงออก คือ ดินาโม เคียฟเป็นปีศาจ ส่วนชากห์ตาร์ คือ ทีมของคนดี
เหตุผลเหล่านี้ให้เกิดความเกลียดชังในใจของแฟนบอลดินาโม เคียฟ ต่อตัวเขาอย่างมาก
ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนในบริเวณคาบสมุทรไครเมีย ทำให้เกิดความตึงเครียดอย่างมากในทุกวงการของสองประเทศ และในปี 2016 ลูเชสคูเลือกที่จะย้ายออกจากชากห์ตาร์ไปอยู่กับเซนิต เซ้นต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ในลีกรัสเซียแทน
“การปรับตัวให้เข้ากับรัสเซียไม่ใช่เรื่องยากเลย เพราะรัสเซียกับยูเครนก็เหมือนประเทศเดียวกันอยู่แล้ว พวกเขาแยกออกจากกันเพราะอุบัติเหตุ แต่คนในรุ่นเดียวกับผม ทุกคนต่างเป็นคนโซเวียตทั้งนั้น” ลูเชสคูกล่าวหลังจากไปทำงานในรัสเซีย
แฟนบอลชากห์ตาร์อาจจะไม่ได้คิดอะไร แต่แฟนจากเคียฟรับกับคำพูดนี้ไม่ได้ ความเกลียดชังก็เพิ่มขึ้นไปอีก
วันเวลากับเซนิตไม่ได้ยาวอย่างที่คิด ลูเชสคูแยกทางกับทีมดังในรัสเซียในระยะเวลาอันสั้นเพียงซีซั่นเดียว ก่อนจะไปรับงานคุมทีมชาติตุรกี ก็ไม่ประสบความสำเร็จอีก เส้นทางการเป็นโค้ชของเขาเหมือนจะสุดทางแล้ว เพราะอายุอานามก็ปาไป 73 ปีแล้ว
ชากห์ตาร์ โดเนตส์ เหมือนจะเป็นจุดหมายของลูเชสคูอีกครั้ง แต่ตอนนั้นเจ้าตัวยอมรับว่า เปาโล ฟอนเซก้า (กุนซือชากห์ตาร์ในตอนนั้น) ทำผลงานได้ดีมาก และคงไม่ต้องการเขาไปอยู่ตรงนั้นแล้ว ชากห์ตาร์ได้แชมป์ลีก 4 ปีติดต่อกันในวันที่ลูเชสคูไม่อยู่กับทีม
เคียฟใช้นักเตะระดับตำนานของสโมสรมาทำทีม แต่แนวทางนี้ไม่ได้ผล เมื่อ อเล็กซานเดอร์ คัทสเควิช และ โอเล็กสกี้ มิเคย์ลิเชนโก้ พาทีมเป็นแชมป์ไม่ได้ ดังนั้น อิฮอร์ ซูร์คิส ประธานสโมสรจึงต้องเปลี่ยนแนวคิดใหม่ ด้วยการเลือกลูเชสคู กุนซือที่วางตัวเป็นอริของทีม มาเป็นคนกุมชะตาของทีม!
แฟนบอลดินาโม เคียฟ ออกอาการโกรธอย่างมากที่สโมสรเลือกทำแบบนี้ และมีการออกแถลงการณ์ขอให้พนักงานสโมสรทั้งหมดลาออกจากการทำงานให้สโมสร เพื่อเป็นการประท้วงการตัดสินใจครั้งนี้ การประท้วงรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ลูเชสคูประกาศยกเลิกสัญญากับเคียฟล่วงหน้า 4 วันก่อนเดินทางไปยูเครน
แต่มันสายไปแล้ว ซูร์คิสไม่ยอมให้เขาทำแบบนั้น และให้เขาทำหน้าที่ตามที่ได้เซ็นสัญญากันไว้ ด้วยประโยคที่ว่า “อย่าเอาอารมณ์ของแฟนบางคน มาตัดสินอนาคตของสโมสร”
การเดินทางครั้งใหม่ท่ามกลางความขัดแย้งของกุนซือโรมาเนียได้เริ่มต้นขึ้นในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
หลังจากเดินทางถึงกรุงเคียฟ ลูเชสคูเอาดอกไม้ไปวางไว้ที่รูปปั้นของโลบานอฟสกี้ ตำนานผู้ล่วงลับของดินาโม เคียฟ และบอกว่าตัวเองเคารพในตัวของโลบานอฟสกี้อย่างมาก แต่ก็ไม่ได้ทำให้แฟนบอลหัวรุนแรงของเคียฟสงบสติอารมณ์ลงแต่อย่างใด
ผลงานของลูเชสคูกับเคียฟในช่วงเริ่มต้นทำได้ดีทีเดียว เอาชนะโอลิมปิก โดเนตส์ 4-1 ในเกมลีก ต่อด้วยชนะชากห์ตาร์ โดเนตส์ ทีมเก่า ในศึกยูเครน ซุปเปอร์คัพ 3-1 แต่แฟนบอลอัลตราของทีมก็ยังคงรวมตัวประท้วงเขาทุกวัน
“ผมไม่แคร์พวกแฟนบอลหัวรุนแรงหรอก ผมคิดถึงแต่นักเตะและผลงานของทีม ผมเป็นมืออาชีพพอที่จะไม่แสดงอารมณ์ออกไป” ลูเชสคูกล่าว
ไม่กี่วันที่ผ่านมา ลูเชสคูต้องนำทีมดินาโม เคียฟ เจอกับชากห์ตาร์ โดเนตส์ ในเกมลีก ก่อนเกมเขาให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า รู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแฟนชากห์ตาร์คงพังพินาศไปแล้ว แต่ฟุตบอลคือชีวิตของเขา การนั่งอยู่บ้านเฉยๆ เป็นปีโดยไม่มีงานทำ ทำให้คิดถึงฟุตบอลมากๆ จึงไม่สามารถปฏิเสธข้อเสนอจากเคียฟได้
แต่วันนั้น เคียฟแพ้ชากห์ตาร์คาบ้าน 0-3 เป็นความพ่ายแพ้นัดแรกในฤดูกาลนี้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ฟอร์มของทีมยักษ์ใหญ่จากเมืองหลวงดีมาตลอด
ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เคียฟก็ผลงานแย่เช่นกัน มีแต้มเดียวจาก 3 เกม ตรงข้ามกับชากห์ตาร์ที่มี 4 แต้ม สามารถบุกชนะรีล มาดริดได้ถึงซานเตียโก้ เบร์นาเบว 3-2
นักข่าวได้ถามลูเชสคูถึงความพ่ายแพ้ต่อชากห์ตาร์และผลงานของทีมเก่าในแชมเปี้ยนส์ลีก เขาตอบแค่ว่า “ผมไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ และผมแทบไม่เคยดูชากห์ตาร์ลงเตะเลย ผมไม่อยากพูดถึงทีมอื่น คุยกับผมแต่เรื่องของดินาโมก็พอนะ”
งานของลูเชสคูไม่ใช่แค่การพาดินาโม เคียฟ ประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่ต้องชนะใจและสร้างความมั่นใจให้กับแฟนบอลเคียฟได้ด้วย รวมทั้งต้องรับมือกับความเกลียดชังของทั้งทีมตัวเองและชากห์ตาร์ อาจจะรวมไปถึงแฟนบอลร่วมลีกอีกมากมาย
นับเป็นช่วงเวลาที่หนักหนาสาหัสที่ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนก็เจอแต่ความเกลียดชังรายรอบตัวเองขนาดนี้
