10 ปีของ ‘ดิเอโก้ ซิเมโอเน่’ พลิกดินสู่ดาว และกำลังร่วงจากดาวสู่ดิน

10 ปีของ ‘ดิเอโก้ ซิเมโอเน่’ พลิกดินสู่ดาว และกำลังร่วงจากดาวสู่ดิน

ครบรอบ 10 ปีแล้วที่ “เอล โชโล่” ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ เข้ามาคุมทัพ “ตราหมี” แอตเลติโก้ มาดริด นับว่าเป็นเรื่องแปลกมากที่ผู้จัดการทีมคนหนึ่ง จะคุมทีมได้นานในยุคฟุตบอลสมัยใหม่ เพราะในยุคนี้ทีมอื่นๆ มีการเปลี่ยนโค้ชกันเป็นว่าเล่น หากผลงานของทีมดร็อปลง และทรงบอลไม่เข้าตา ซึ่งก่อนที่ซิเมโอเน่จะเข้ามาทำหน้าที่โค้ช แอตเลติโก้ มาดริดก็เคยเป็นทีมที่มีการเปลี่ยนผู้จัดการทีมเป็นว่าเล่น ภายใน 3 ปี พวกเขาเปลี่ยนไปทั้งหมด 5 คน

ซิเมโอเน่ที่เคยเป็นอดีตนักเตะคนสำคัญมาก่อนในช่วงกลางยุค 90 เข้ามารับช่วงต่อจาก จิโอริโอ้ มานซาโน่ ที่ทำผลงานได้อย่างย่ำแย่ แต้มอยู่เหนือโซนตกชั้นเพียงไม่กี่แต้ม และในถ้วยโกปา เดล เรย์ ก็ดันไปแพ้ให้กับอัลบาเซเต้ ทีมในลีกดิวิชั่นสามของสเปน แม้ว่าปีก่อนหน้าจะไปคว้าแชมป์ยูโรป้า ลีกก็ตาม

แอตฯ มาดริดเป็นทีมที่เกมรับไม่ใช่จุดเด่น เสียประตูเป็นว่าเล่น แถมยังสู้ใครไม่ค่อยได้ แต่พอซิเมโอเน่เข้ามาคุมทีม 6 เกมแรก ทีมตราหมีสามารถเก็บคลีนชีตได้ทั้ง 6 นัด นั่นถือเป็นสัญญาณว่าทีมกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี

Advertisement

หลังจากที่คุมทีมได้ 6 เดือน เอล โชโล่ก็สามารถพาทีมตราหมีขึ้นไปเถลิงบัลลังก์แชมป์ยูโรป้า ลีก ในฤดูกาล 2011-2012 จากชัยชนะเหนือแอธเลติก บิลเบา คู่ปรับร่วมลีกไปด้วยสกอร์ 3-0 และปีต่อมาก็ไปตบคู่ปรับร่วมเมืองอย่างรีล มาดริด ในนัดชิง โกปา เดล เรย์ ด้วยสกอร์ 2-1 ทำให้ตราหมีเป็นทีมที่เริ่มน่าจับตามองมากขึ้น จากการปลุกปั้นของซิเมโอเน่

หลังจากที่ซิเมโอเน่เข้ามาคุมแอตฯ มาดริดได้ 2 ปี ทีมเริ่มมีความลงตัวมากขึ้น และการคว้าแชมป์ในสองรายการที่ผ่านมา เหมือนเป็นการอัพเลเวลให้หมีตัวนี้มีตื่นตัว มีความมั่นใจ และกล้าเล่นมากขึ้น ส่งผลให้ในฤดูกาล 2013-2014 เอล โชโล่พาทีมคว้าแชมป์ลาลีก้า สเปน เฉือนอันดับสอง และอันดับสาม อย่างบาร์เซโลน่ากับรีล มาดริดไปแค่ 3 คะแนน แถมยังเป็นแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 18 ปี ของทีมตราหมี นับตั้งแต่ปี 1996 จากการคว้าแชมป์ลีกในฤดูกาลนั้นยังส่งผลให้ซิเมโอเน่คว้าแชมป์ในฐานะที่เป็นโค้ชและนักเตะอีกด้วย

Advertisement

นอกจากจะพาทีมประสบความสำเร็จในลีกสูงสุดของประเทศแล้ว ก็ยังได้ไปลุ้นต่อในรายการยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก ที่จะเจอกับรีล มาดริด ในรอบชิง แม้ว่าทัพตราหมีเกือบทำได้สำเร็จจากการนำมาตลอดทั้งเกม แต่ก็มาโดนทีเด็ดจากลูกโขกของ เซร์คิโอ้ รามอส ในนาทีสุดท้าย จนต้องไปสู้กันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ แต่กลับไปพลาดท่าแพ้ 1-4 ทำให้ชวดแชมป์ไปอย่างน่าเสียดาย

ความสำเร็จในช่วงแรกถือว่าน่าพอใจเป็นอย่างมาก ซิเมโอเน่เข้ามายกระดับทีมให้ทีมตราหมีกลายเป็นทีมชั้นนำในยุโรปที่ไม่มีใครอยากเจอ และขึ้นชื่อว่ามีเกมรับที่เหนียวแน่น เขี้ยวลากดิน ไม่ยอมปล่อยให้คู่แข่งมีโอกาสยิง โดยแอตฯ มาดริดมีสถิติเสียประตูน้อยที่สุดในลีก 7 จาก 10 ฤดูกาลที่ผ่านมา

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แอตฯมาดริดก็ยังคงรักษาระดับการเล่นเอาไว้ได้ดีอย่างสม่ำเสมอ จากการที่มีชื่อไปเล่นในรายการยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก อยู่ทุกซีซั่น โดยผ่านเข้าไปเล่นรอบน็อกเอาต์ใน 8 จาก 9 ฤดูกาลหลังสุด และเข้าชิงชนะเลิศได้ 2 ครั้ง ในปี 2014 และ 2016

ครั้งเดียวที่ทัพตราหมีชื่อหลุดกระเด็นออกจากรอบน็อกเอาต์ไปเล่นยูโรป้าลีก ก็คือปี 2018 และในปีนั้นพวกเขาก็ไปคว้าแชมป์ถ้วยรองของยุโรปมาครอง แถมผลงานในลีกไม่เคยหลุดจากอันดับสามในลีกสูงสุดเลยแม้แต่ครั้งเดียว จากที่อยู่กลางตารางมาโดยตลอด ในฤดูกาลล่าสุดเอล โชโล่ก็เพิ่งพาทีมกลับมาทวงบัลลังก์แชมป์ลาลีก้าได้อีกครั้ง

แต่ผลงานในฤดูกาลนี้กลับดูตรงข้ามกับสิ่งที่เคยทำมา ซิเมโอเน่พยายามที่จะเปลี่ยนสไตล์การเล่นของทีมให้ทันสมัยมากขึ้น ด้วยการพัฒนาทีมให้เน้นเล่นครองบอลเกมบุกหนักขึ้น มากกว่าเน้นเก็บผลการแข่งขัน แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล เพราะแนวทางที่ซิเมโอเน่ได้นำมาปรับใช้กับทีม ดูเหมือนจะขัดกับนิสัยของเจ้าตัวที่ชอบเน้นเกมรับซะเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ระบบการเล่นของทีมดูหลงทาง และสับสน เกมรุกดูขาดๆ เกินๆ ส่วนเกมรับที่เป็นเครื่องหมายการค้าของทีมก็หายไป เพราะเพียงแค่ครึ่งฤดูกาลผ่านไป จำนวนตัวเลขที่ทีมเสียประตูก็เกินครึ่งจากฤดูกาลที่ผ่านๆ มาแล้ว

การบุกไปพ่ายแพ้ต่อกรานาด้า 1-2 ในนัดล่าสุด ทำให้ซิเมโอเน่แพ้เกมลีกติดต่อกัน 4 นัด นับเป็นครั้งแรกของเจ้าตัวตั้งแต่คุมทีมมา และด้วยการที่ซิเมโอเน่กำลังจะคุมทีมเข้าสู่ทศวรรษที่สองของเจ้าตัวกับตราหมี ทำให้เกิดเครื่องหมายคำถามมากมายเกี่ยวกับผลงาน และทิศทางของสโมสร

ปัจจุบัน แอตฯมาดริด แชมป์เก่ารั้งอยู่อันดับที่ 5 ตามหลังจ่าฝูง รีล มาดริด คู่อริร่วมเมืองอยู่ 17 แต้ม ถ้าพูดกันตามทฤษฎีก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่ตราหมีจะป้องกันแชมป์ แต่ถ้าหากมองถึงความจริง และความเป็นไปได้แล้ว ต้องบอกว่ามีโอกาสน้อย และยากมากๆ ถ้าเบนเป้าไปแย่งพื้นที่ลุยถ้วยบิ๊กเอียร์ในฤดูกาลหน้า ยังมีโอกาสซะมากกว่า

ต้องติดตามกันต่อไปว่าซิเมโอเน่ จะพาตราหมีกลับสู่เส้นทางอย่างที่ควรจะเป็นได้เมื่อไร หากฟอร์มโดยรวมของทีมยังเป็นแบบนี้ บทตำนานระหว่างซิเมโอเน่อาจจะจบลงแค่หนึ่งทศวรรษ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image