ศึกฟุตบอล “โตโยต้า ไทยลีก 2018” เปิดฉากการแข่งขันฤดูกาลใหม่ เมื่อช่วงวันที่ 9-11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งหลังจบนัดแรก ปรากฏว่า “สิงห์เจ้าท่า” การท่าเรือ เอฟซี ที่ทุ่มงบทำทีม 200 ล้านบาท ผงาดขึ้นนำจ่าฝูงหลังเปิด แพท สเตเดียม ถล่มชนะ “โลมาฟ้าขาว” พัทยา ยูไนเต็ด 3-0 ทำให้คว้า 3 แต้มแรก และมีประตูได้เสีย +3 ขึ้นนำอันดับ 1 ในตาราง โดยนัดต่อไป การท่าเรือ มีคิวทำศึกบิ๊กแมตช์บุกเยือน “กิเลนผยอง” เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่เอสซีจี สเตเดียม วันเสาร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ เวลา 18.00 น.
“มาดามแป้ง” นางนวลพรรณ ล่ำซำ ประธานสโมสรการท่าเรือ กล่าวว่า หลังจากเข้ามาทำทีมการท่าเรือ เมื่อปี 2558 ได้ 7 วันก่อนลีกจะเปิด และล้มลุกคลุกคลานตกชั้นไปดิวิชั่น 1 ก่อนกลับมาสู่ไทยลีกได้เมื่อฤดูกาลที่แล้ว พร้อมจบอันดับ 9 ถือว่าเป็น 4 ปีที่ได้เรียนรู้อย่างมาก จึงคิดที่อยากจะพาทีมประสบความสำเร็จด้วยการมีถ้วยแชมป์มาประดับทีมเหมือนกัน แต่ถ้าทำไม่สำเร็จในอนาคต ด้วยอายุที่เพิ่มขึ้นอาจรพิจารณาว่า ถึงเวลาที่จะอำลาทีมหรือไม่ แต่ตอนนี้ยังสนุกกับการทำทีมอยู่
ขณะที่ “เซอร์เด็จ” จเด็จ มีลาภ เฮดโค้ชการท่าเรือ เปิดเผยว่า ได้เข้าไปดูเกมที่เมืองทองบุกแซงชนะ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด 3-2 ที่สนาม ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ยอมรับตามตรงว่า เมืองทองเครื่องร้อนช้า แต่ “โค้ชแบน” ธชตวัน ศรีปาน สามารถเปลี่ยนเกมยามคับขันไปสู่อีกระบบได้ยอดเยี่ยม นักเตะก็สามารถทำได้ตามแผน ทำให้คู่แข่งเกิดความสับสน ยอมรับว่า นักเตะเมืองทองมีคุณภาพไม่ว่าจะเปลี่ยนแผนระบบไหน
เซอร์เด็จ กล่าวอีกว่า แม้ปีก่อนการท่าเรือไม่แพ้เมืองทองเลย แต่ยังพอมีเวลาศึกษาก่อนจะออกไปเยือนในเกมต่อไป ซึ่งในรายของ “เจน” เจนรบ สำเภาดี ที่ทำแฮตทริคให้เมืองทองเกมชนะแบงค็อกนั้น เขารับโอกาสที่โค้ชมอบให้ได้ยอดเยี่ยม แต่คิดว่า ยังต้องพิสูจน์ตัวเองอีกนานในการรักษาคุณภาพการเล่น ไม่เหมือนกับ “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา โดยหากว่า เมืองทองยังมีธีรศิลป์อยู่ในฤดูกาลนี้จะกลัวมากกว่านี้ เพราะด้วยมาตรฐานการเล่นที่คงเส้นคงวาต่อเนื่องหลายฤดูกาล จนกลายเป็นกองหน้าเบอร์หนึ่งของทีมชาติไทย
