สกู๊ปพิเศษ : ‘พุธิตา-ศุภิสรา’ คู่น้องใหม่ เพื่อเป้าหมาย ’โตเกียว2020’

ปี 2018 นับว่าเป็นปีสำคัญปีหนึ่งสำหรับนักกีฬาแบดมินตัน ก่อนที่การเก็บคะแนนเพื่อไปแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น จะเริ่มอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคม ปีค.ศ. 2019
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแข่งขันประเภทคู่ นี่เป็นปีสำคัญที่มักจะมีการสลับคู่ เปลี่ยนมือกันเพื่อหาคู่ที่ดีที่สุดในการเตรียมตัวสู่โอลิมปิกเกมส์

เช่นเดียวกับนักตบลูกขนไก่จากแคมป์ “เอสซีจี แบดมินตัน อคาเดมี” ซึ่งนับเป็นแคมป์ที่โดดเด่นในด้านการผลิตนักแบดมินตันประเภทคู่ออกมาเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติไทยอย่างต่อเนื่อง ในปีนี้ก็เริ่มมีการปรับสลับคู่นักแบดฯในสังกัดตัวเอง เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสู่โอลิมปิกเกมส์เช่นกัน

แต่นาทีนี้คู่ที่ดูเหมือนว่าหลังจากได้มีการสลับเปลี่ยนคู่แล้วมาแรงคงหนีไม่พ้นคู่ของ “เอิร์ธ” พุธิตา สุภจิรกุล กับ “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน เพราะเพียงแค่จับคู่กันออกแข่งขันเป็นครั้งแรก ก็ใช้เวลาเพียง 3 รายการ สามารถคว้าแชมป์แรกให้กับตัวเองได้สำเร็จ ในการแข่งขัน “เอชเอสบีซี บีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ ทัวร์” ระดับอินเตอร์ เนชั่นแนล ซีรี่ส์ รายการ “คาบัล อินเตอร์เนชั่นแนล คาร์วิย่า 2018” ที่สาธารณรัฐเช็ก

Advertisement

จากการเริ่มต้นรายการแรกคือ ระดับฟิวเจอร์ ซีรีส์ “โยเน็กซ์ สโลวัก โอเพ่น 2018” คู่ของ “เอิร์ธ-เฟม” ผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศได้ ก่อนที่รายการต่อมาจะเป็นการลงเล่นในระดับซุปเปอร์ 300 รายการ “โยเน็กซ์ เยอรมัน โอเพ่น 2018” จะพ่ายให้กับคู่มือ 1 ของโลกอย่างเฉิน กิงเฉิน และเจี่ย ยี่ฟาน จากจีน ไปแบบสนุกในรอบแรก

จริงๆ แล้วทั้งสองคนนั้นเพิ่งจะได้เริ่มซ้อมร่วมกันในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ โดยศุภิสรานั้นเพิ่งจะถูกดันจากชุดเยาวชนขึ้นมาอยู่ชุดใหญ่เป็นครั้งแรก และได้ซ้อมร่วมกันเพียงระยะเวลาไม่ถึงเดือนเท่านั้น
“เฟม” พูดถึงผลงานใน 3 รายการที่ผ่านมาว่า พอใจระดับหนึ่งแต่ทว่าก็ยังมีข้อบกพร่องที่ต้องปรับกัน บางครั้งยังมีจังหวะที่ไม่คุ้นเคยกันมาก การได้ลงเล่นด้วยกันบ่อยๆ เพิ่มประสบการณ์ร่วมกัน จะทำให้ได้รู้จังหวะกันมากขึ้น รู้ว่าคู่ของเราชอบแบบไหนและจะต้องเดินเกมอย่างไรให้ได้เปรียบ

ขณะที่ “เอิร์ธ” มองว่าใน 3 รายการแรกนั้นวางเป้าหมายถึง 2 แชมป์ด้วยกัน แต่ต้องยอมรับว่า ผลรายการแรกที่สโลวาเกียนั้นทำให้ยังต้องปรับตัวเอง เพราะบางครั้งห่วงน้องมากไปจนกลายเป็นตัวเองหลุดเอง แต่รายการต่อมา สามารถปรับเปลี่ยนได้ดีขึ้น

Advertisement

เดิมทีก่อนหน้านี้เราจะเห็น “เอิร์ธ” จับคู่กับรุ่นพี่อย่าง “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย โดยพี่ปอป้อจะเป็นหลักให้เรา ดังนั้นการที่ต้องปรับการเล่นใหม่ มาเป็นหลักให้น้องบ้าง นับว่าเป็นความท้าทายของเจ้าตัวไม่ใช่น้อย


“เอิร์ธต้องปรับการเล่นใหม่ จริงอยู่ที่การเล่นคู่นั้นทั้งสองคนต้องช่วยกันในสนามเหมือนกับเป็นคนเดียวกัน ใครหลุดก็ต้องช่วยดึงกลับมา ซึ่งเมื่อตอนเล่นกับพี่ป้อ ตอนนั้นโค้ชวางแผนให้ แล้วพี่ป้อจะเป็นคนคุมการเล่นให้ แต่พอมาคู่กับเฟม หนูก็ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบ เหมือนเพิ่มหน้าที่ให้กับตัวเองใหม่”
พุธิตากล่าว

ส่วนศุภิสรา ที่ต้องปรับจากการที่เคยเล่นคู่กับเจน “ขวัญชนก สุดใจประภารัตน์” ในระดับเยาวชนมาคู่กับรุ่นพี่ ก็ยอมรับว่ามีสไตล์ที่ต่างกันมาก ซึ่งตอนที่คู่กับเจนนั้นจะเป็นคู่ที่ไม่มีลูกพิฆาต ไม่มีลูกตบหนักๆ ที่จะเอาไว้ทำแต้มคู่แข่งได้

สิ่งหนึ่งที่ดูจะเป็นอุปสรรค คือ เมื่อสองคนนี้มาจับคู่กันใหม่ ทำให้ต้องเริ่มแข่งขันในรายการตั้งแต่ระดับฟิวเจอร์ ซีรีส์ หรือระดับซุปเปอร์ 300 ซึ่งตัวเอิร์ธนั้นจากการจับคู่กับปอป้อมาก่อนหน้านี้ จะได้เล่นในระดับซุปเปอร์ 500 หรือซุปเปอร์ 1,000 มาโดยตลอด

“โค้ชโอม” เทศนา พันธ์วิศวาส หัวหน้าผู้ฝึกสอนเอสซีจี แบดมินตัน อคาเดมี ให้ความเห็นว่าการที่เอิร์ธต้องลงมาเล่นในทัวร์นาเมนต์ระดับต่ำกว่าเดิม เอิร์ธต้องมองเห็นเกมส์ที่ครอบคลุมกว่าเดิม ต้องปรับรูปแบบการเล่นใหม่ ซึ่งจากทัวร์นาเมนต์ที่ผ่านมาได้เห็นการปรับตัวของเอิร์ธเป็นไปแนวทางที่ดี

ในส่วนของจุดที่เอิร์ธต้องแก้ไข มองว่าเรื่องการปรับเกมส์ให้เข้ากันเวลาที่เจอเกมหนักๆ ยังเป็นส่วนที่ต้องพัฒนาและแก้ไขต่อไป

ส่วนเฟมนั้นบอกว่าต้องเพิ่มน้ำหนักของตัวเอง เพราะตัวยังบางเกินไป รวมไปถึงเสริมความแข็งแรงและเรียนรู้ประสบการณ์ไนการแข่งขันเพื่อเอามาแก้ไขตนเอง

เป้าหมายของเอิร์ธกับเฟมในปีนี้ ตั้งเป้าที่จะต้องก้าวขึ้นมาติด 1 ใน 50 ของโลกให้ได้เสียก่อน เพื่อที่ในปีต่อไปจะสามารถลงเล่นในรายการระดับสูงเพื่อทำคะแนนในการควอลิฟายด์ไปโอลิมปิกเกมส์ “โตเกียว 2020” ให้ได้

“มันเป็นงานที่ยาก เพราะว่าต้องเริ่มต้นใหม่ ด้วยเวลาไม่ถึง 2 ปี ซึ่งมีกังวลบ้าง แต่มีความเชื่อมั่นในทีมงาน และแผนงานที่เตรียมไว้ให้ ถ้าทำได้ตามเป้าที่วางไว้ ก็เชื่อว่าสามารถทำได้ อย่างตอนโอลิมปิกเกมส์ครั้งที่แล้ว เวลาก็ไม่ต่างกัน แต้มก็ตามเยอะ จนมาไล่ทันในรายการสุดท้าย ตามแผนที่วางเอาไว้ ดังนั้นก็จะเชื่อมั่นในโค้ชโอม ทีมงาน และตัวน้องว่าครั้งนี้ก็จะทำได้เช่นกัน” พุธิตากล่าวด้วยน้ำเสียงและสายตาที่เชื่อมั่น

เป้าหมายของทั้งคู่ไม่ใช่แค่ร่วมแข่งโอลิมปิกเกมส์เท่านั้น แต่ยังหวังถึงการคว้าเหรียญใดเหรียญหนึ่งด้วย!.

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image