คาร์โล อันเชล็อตติ ถือเป็นกุนซือมือฉมังคนหนึ่งของวงการลูกหนัง ที่เคยประสบความสำเร็จมากมายระหว่างการคุมสโมสรชั้นนำในลีกระดับสูงทั่วยุโรป ทั้ง ยูเวนตุส, เอซี มิลาน, เชลซี, ปารีส แซงต์แชร์แมง, รีล มาดริด และบาเยิร์น มิวนิก แต่ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่งเขาจะเลือกมาคุมทีมระดับกลางอย่าง เอฟเวอร์ตัน
“ทอฟฟี่บลูส์” ไม่ใช่ทีมที่แย่ แต่ก็ไม่ใช่ทีมที่เปี่ยมไปด้วยบารมีในระดับเดียวกับที่ “อันเช่” เคยฝากผลงานไว้ เพราะเอฟเวอร์ตันไม่เคยจบสูงกว่าอันดับ 7 ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษเลยนับตั้งแต่ฤดูกาล 2014-15 เป็นต้นมา ส่วนปัจจุบันสโมสนี้ก็จมอยู่อันดับ 15 ของตาราง
หรือนี่จะเป็นความท้าทายแบบใหม่ที่อันเชล็อตติต้องการ เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่า เขาไม่ได้มีดีแค่กับการคุมทีมใหญ่เท่านั้น แต่สามารถวางรากฐานและปลุกปั้นสโมสรระดับกลางสู่การประสบความสำเร็จได้เช่นกัน เหมือนที่เคยทำได้กับทีมพี่เบิ้มมาแล้ว
- บารมีในอดีต
อันเชล็อตติ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมขณะคุม “ปีศาจแดงดำ” เอซี มิลานระหว่างปี 2001-2009 โดยพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2 สมัย, กัลโช่ เซเรียอา อิตาลี 1 สมัย, โคปปา อิตาเลีย 1 สมัย เป็นต้น
จากนั้นอันเช่พา “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี คว้าดับเบิลแชมป์ตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่เข้าไปคุมทีมในฤดูกาล 2009-10 (พรีเมียร์ลีก อังกฤษกับเอฟเอ คัพ) ก่อนโยกไปคุม “เปแอสเช” ปารีส แซงต์แชร์แมง ระหว่างปี 2011-2013 และคว้าแชมป์ลีกเอิง ฝรั่งเศส 1 สมัย
ต่อมาอันเชล็อตติเหินฟ้านั่งกุนซือ “ราชันชุดขาว” รีล มาดริด ระหว่างปี 2013-2015 สานงานต่อจาก โชเซ่ มูรินโญ่ ที่แม้กุนซือโปรตุกีสจะพาทีมประสบความสำเร็จ แต่บรรยากาศและความสัมพันธ์ในทีมนั้นค่อนข้างแตกหัก โดยอันเช่คือผู้ที่เข้าไปพลิกโฉมบรรยากาศห้องแต่งตัวให้กลับมาดีขึ้นอีกครั้ง แถมยังพาทีมคว้าแชมป์ถ้วยบิ๊กเอียร์ 1 สมัยกับโกปา เดลเรย์ 1 ครั้ง แต่ถูกสั่งเด้งหลังจบซีซั่น 2014-15 เหตุมาตรฐานตกไร้ถ้วยแชมป์ติดมือ
- เริ่มคุมนักเตะไม่อยู่
อันเชล็อตติ เข้ามาคุม บาเยิร์น มิวนิก ในเดือนกรกฎาคม 2016 ต่อจาก เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ไปคุมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในอังกฤษ แต่อันเชล็อตติอยู่คุมเสือใต้ได้เพียง 1 ปีเศษ กับแชมป์บุนเดสลีก้า 1 สมัย ก็เป็นอันต้องแยกทางกับทีมในเดือนกันยายน 2017 หลังหลังแพ้เปแอสเช 0-3 ในแชมเปี้ยนส์ลีก และมักผลงานไม่ดีเวลาเจอทีมใหญ่ของยุโรป
นอกจากนี้ยังมีสาเหตุสำคัญมาจากการที่นักเตะตัวหลักเสือใต้ถึง 5 ราย ต่อต้านการทำงานร่วมกับอันเช่ ซึ่งนำโดย โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้, โธมัส มุลเลอร์ และ อาร์เยน ร็อบเบน เป็นต้น เนื่องจากไม่พอใจสไตล์การทำทีม จนถึงขั้นแอบซ้อมลับหลังกันเอง เพราะรู้สึกว่าแผนซ้อมของอันเช่นั้นไม่ได้ยกระดับทีมให้แกร่งขึ้นเลยแม้แต่น้อย
- แตกหักประธาน
อันเชล็อตติ หวนกลับมาทำงานในอิตาลี ด้วยการนั่งกุนซือนาโปลีในเดือนกรกฎาคม 2018 พร้อมแบกความคาดหวังยกระดับทีมไปเบียดแย่งแชมป์กับยูเวนตุส มหาอำนาจของลีกสูงสุดอิตาลี แต่น่าเสียดายที่อันเชล็อตติพาทีมจบอันดับ 2 ของกัลโช่ เซเรียอา ซีซั่น 2018-19 เท่านั้น โดยมีคะแนนห่างจากยูเวนตุสทีมแชมป์มากถึง 11 คะแนน
ส่วนซีซั่นปัจจุบันก็ทำทีมออกสตาร์ตแบบน่าใจหาย จมอยู่อันดับ 7 ของลีก มี 21 คะแนนจาก 15 นัดแรก ตามหลังจ่าฝูงอย่าง “งูใหญ่” อินเตอร์ มิลาน มากถึง 17 คะแนน สร้างความไม่พอใจให้กับ ออเรลิโอ เด เลาเรนติส ประธานสโมสรถึงขนาดสั่งซ้อมพิเศษ ตั้งกฎมากมาย ขณะที่อันเชล็อตติก็ไม่พอใจที่ถูกเข้ามาแทรกแซงการทำงาน จึงต่อต้านแบบดื้อเงียบ กระทั่งถูกปลดเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2019 ทั้งที่เพิ่งพานาโปลีทะลุเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายแชมเปี้ยนส์ลีก
แม้ระยะหลังอันเชล็อตตินั้นจะจบกับสโมสรเก่าแบบไม่สวยเท่าไหร่ แต่คนระดับอันเช่ก็ตกงานได้ไม่นาน สุดท้ายคัมแบ๊กเกาะอังกฤษอีกครั้งกับการทำงานให้เอฟเวอร์ตัน จรดปากกายาว 4 ปีครึ่ง เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม โดยทอฟฟี่บลูส์ยังคงให้ความเชื่อมั่นกุนซือชาวอิตาเลียนวัย 60 ปี เพราะหวังว่าความเก๋าประสบการณ์ของเขา จะช่วยกู้วิกฤติพาทีมหนีตกชั้น และพลิกโฉมเอฟเวอร์ตันให้กลับมาเข้าที่เข้าทางและมุ่งหน้าสู่ความสำเร็จต่อไป
โดยกุนซือป้ายแดงของเอฟเวอร์ตันมีไฟทำงานถึงขั้นประกาศว่า จะยกระดับพาทีมคว้าแชมป์ในอังกฤษ รวมถึงลุยทัวร์นาเมนต์ยุโรปอย่าง ศึกแชมเปี้ยนส์ลีก หรือยูโรป้าลีกให้ได้ แม้จะไม่ใช่เร็วๆ นี้ แต่หวังว่าจะทำให้เกิดขึ้นจริงในอนาคต
การพิสูจน์ฝีมือในทีมระดับกลางของอันเชล็อตติจะประสบความสำเร็จหรือไม่ จะพลิกดินสู่ดาว หรือจะพลาดท่าทำทีมเป๋ยาวๆ เหมือนที่เกิดขึ้นในระยะหลัง และกลายเป็นขาลงของชีวิตกุนซือไปอีกรายกันแน่ ต้องติดตามกันต่อไป
แต่ที่แน่ๆ พรีเมียร์ลีกนับจากนี้ดุเดือดน่าดู
