สกู๊ปพิเศษ : ย้อนเส้นทางเฝ้าเสา ‘โบเน็ตติ’ ตำนานมือกาว ‘เชลซี’ ผู้ล่วงลับ

Photo : Getty Images

ปีเตอร์ โบเน็ตติ ตำนานผู้รักษาประตูดีกรีแชมป์โลกชาวอังกฤษของ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี เสียชีวิตลงในวัย 78 ปี เมื่อวันที่ 12 เมษายน หลังจากมีอาการป่วยมาเป็นเวลานาน

โดยโบเน็ตติ ถือเป็นตำนานมือกาวของเชลซี จากผลงานลงเล่นให้สิงห์บลูส์ทั้งสิ้น 729 นัด มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์สโมสร รองจาก รอน แฮร์ริส (795 เกม) โดยเก็บคลีนชีตได้ 208 เกม ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของสโมสรที่โบเน็ตติถือครองเป็นเวลานานถึง 35 ปี ก่อนจะถูกทำลายลงด้วยฝีมือของ ปีเตอร์ เช็ก ในปี 2014

โบเน็ตติ เป็นนายด่านฝีมือดี มีฉายาในวงการลูกหนังว่า “เดอะ แคท” เพราะมีความรวดเร็วและว่องไวในการพุ่งเซฟลูก นอกจากนี้ยังขว้างบอลได้ไกลและแม่นยำ รวมถึงทะยานตัดบอลได้ดี แม้จะสูง 180 เซ็นติเมตร ซึ่งถือว่าไม่สูงมากนักในตำแหน่งผู้รักษาประตู

ที่สำคัญคือโบเน็ตติเป็นนักเตะคนแรกของเชลซีที่ผงาดคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก แม้ไม่ได้ลงเล่นทัวร์นาเมนต์รอบสุดท้ายเลยสักนัดเดียวก็ตาม

Advertisement

ตลอดเส้นทางการเฝ้าเสาของโบเน็ตติมีเหตุการณ์ที่น่าสนใจเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งเราได้รวบรวมมาให้แฟนๆ ร่วมรำลึกถึงเขาไปพร้อมๆ กัน

โบเน็ตติ เกิดเมื่อวันที่ 27 กันยายน 1941 ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยมีเชื้อสายชาวสวิสจากพ่อแม่ เขาเป็นผู้รักษาประตูที่ฉายแววเก่งตั้งแต่เล่นให้กับทีมในโรงเรียน จนเตะตาของ เร้ดดิ้ง ดึงเข้าทีมเยาวชน แต่หลังจากนั้นคุณแม่ได้เขียนจดหมายไปถึงสโมสรเชลซี ขอให้ลูกชายของเธอได้เข้าไปทดสอบฝีเท้า กระทั่งสุดท้ายเชลซีตัดสินใจเซ็นสัญญาควาโบเน็ตติเข้าทีม

Advertisement

โดย โบเน็ตติ ได้โอกาสประเดิมสนามกับทีมชุดใหญ่ด้วยวัยเพียง 18 ปี ในแมตช์ชนะ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้  3-0 เมื่อวันที่ 2 เมษายน 1960 ก่อนยึดมือ 1 ของทีมได้ในฤดูกาล 1960-61 ในวัยเพียง 19 ปี

จากนั้นปี 1961 โบเน็ตติ ช่วยเชลซี คว้าแชมป์เอฟเอ ยูธคัพ เป็นครั้งแรกด้วยชัยชนะเหนือเอฟเวอร์ตัน จากนั้นโบเน็ตติ ช่วยเชลซีเลื่อนชั้นกลับมาสู่ลีกสูงสุดในปี 1963 หลังจากฤดูกาลที่แล้วเสียท่าตกชั้น

ปี 1965 โบเน็ตติมีส่วนให้เชลซี คว้าแชมป์ลีกคัพ หลังจากเอาชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่มี กอร์ดอน แบงค์ส ทำหน้าที่เฝ้าเสา โดยนัดแรกเชลซีเปิดสนามสแตมฟอร์ดบริดจ์ เอาชนะมาอย่างสุดระทึก 3-2 ก่อนที่เลก 2 โบเน็ตติจะเป็นฮีโร่โชว์ซูเปอร์เซฟช่วยให้เชลซีเก็บผลเสมอกลับมา 0-0 รวมคว้าแชมป์อย่างดุเดือดด้วยสกอร์ 3-2

ต่อมา โบเน็ตติ กลายเป็นหนึ่งในนักเตะทีมชาติอังกฤษชุดแชมป์ฟุตบอลโลกปี 1966 แต่ในช่วงนั้นเขาไม่ได้รับเหรียญการันตีผลงานอันทรงเกียรติ เพราะเจ้าตัวไม่มีโอกาสลงสนามในทัวร์นาเมนต์ดังกล่าวแม้แต่นัดเดียว แต่สุดท้ายโบเน็ตติก็ได้รับเหรียญรางวัลแชมป์โลกย้อนหลังในปี 2009 หลังจากสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ)  ช่วยเดินเรื่องให้จนประสบความสำเร็จ

ปี 1970 โบเน็ตติ ระเบิดฟอร์มเหนียบหนึบป้องกันประตูหลายต่อหลายครั้ง ในเกมดวล ลีดส์ ยูไนเต็ด ศึกเอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ เมื่อวันที่ 11 เมษายน ก่อนจบลงด้วยผลเสมอ 2-2 ที่สนามเวมบลีย์ จึงต้องมีการแข่งนัดรีเพลย์อีกครั้ง

เกมรอบชิงนัดแข่งใหม่ จัดโม่แข้งที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ดในวันที่ 29 เมษายน ซึ่งในเวลา 90 นาที ทั้งสองทีมเสมอกัน 1-1 กระทั่งเข้าสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษ ดันเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันขึ้น เมื่อโบเน็ตติปะทะกลางอากาศกับ มิค โจนส์ ของลีดส์ ทำให้มีอาการบาดเจ็บที่ขาข้างหนึ่ง แต่เขาก็ยืนหยัดเฝ้าเสาให้ทีมต่อ สุดท้ายเชลซีได้ เดวิด เว็บบ์ ช่วยยิงประตูชัยในนาที 104 ทำให้เชลซีเอาชนะ 2-1 ซิวแชมป์เอฟเอคัพสำเร็จ

ผลงานการเป็นฮีโร่ของโบเน็ตติในเกมนี้ถูกฉายผ่านทางสถานีโทรทัศน์โดยมีผู้ชมกว่า 28 ล้านคนทั่วอังกฤษเป็นสักขีพยานในผลงานชั้นยอดนี้

แม้โบเน็ตติจะประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมกับเชลซี แต่เขาก็ต้องเจอกับฝันร้ายครั้งใหญ่ในเส้นทางลูกหนังระหว่างรับใช้ทีมชาติอังกฤษ

ตลอดเส้นทางลูกหนังโบเน็ตติมีโอกาสรับใช้ทีมชาติอังกฤษแค่เพียง 7 นัดเท่านั้น เนื่องจากผู้จัดการทีมอย่าง เซอร์ อัลฟ์ แรมซีย์ วางตัวกอร์ดอน แบงค์ส เป็นตัวเลือกอันดับ 1 และช่วงนั้นก็ยังมีมือกาวฝีมือดีอีกหลายคน ทั้งรอน สปริงเก็ตต์ของเชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์, กอร์ดอน เวสต์จากเอฟเวอร์ตัน และอเล็กซ์ สเต็ปนีย์จากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

โดยในศึกฟุตบอลโลก 1970 ที่เม็กซิโก แบงค์ส มือกาวเบอร์ 1 เกิดอาการท้องเสียเนื่องจากอาหารเป็นพิษ ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย จึงทำให้โบเน็ตติได้โอโอกาสลงสนามแทนในแมตช์ดวลกับเยอรมันตะวันตก ทีมที่อังกฤษเคยเอาชนะพวกเขามาในรอบชิงชนะเลิศบอลโลกเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ซึ่งเกมนี้แข้งผู้ดีขึ้นนำก่อน 2-0 แต่ทว่าครึ่งหลังกลับโดนยิง 3 ประตูรวด ทำให้พลิกพ่ายแบบสุดช็อก 2-3

โบเน็ตติ ที่ลงเฝ้าเสาเป็นตัวจริงในเกมดังกล่าวตกเป็นแพะรับบาปของความปราชัยนี้ โดยเฉพาะการเสีย 2 ประตูแรกให้คู่แข่งจากลูกยิงของ ฟรานซ์ เบคเค่นเบาเออร์ ที่ยิงเรียดทะลุเซฟ กับออกไปตัดบอลพลาด จนถูก อูเว ซีเลอร์ โขกย้อยๆ เข้าไป ก่อนโดน แกร์ด มุลเลอร์ ซ้ำจ่อๆ เป็นประตูชัยปิดท้ายในช่วงต่อเวลาพิเศษ

จาก 120 นาทีในแมตช์นั้น ถือเป็นฝันร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตโบเน็ตติ เพราะโอกาสในทีมชาติก็ค่อยๆ ลดและเลือนหายไป แม้มือ 1 ทัพสิงโตคำรามอย่างแบงค์สจะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ในปี 1972 จนเสียตาไปข้างหนึ่งและต้องเลิกเล่นฟุตบอล แต่ก็มี ปีเตอร์ ชิลตัน ที่ฟอร์มแรงขึ้นมายึดตำแหน่งนายด่านทีมชาติอังกฤษและรับไม้ต่อจากแบงค์สในเวลานั้น

แต่ฝันร้ายจากฟุตบอลโลกที่เม็กซิโกก็ไม่ได้ส่งผลกระทบหนักมาจนถึงฟอร์มที่สโมสรมากนัก เมื่อโบเน็ตติ โชว์ฟอร์มป้องกันประตูสุดเหนียวหนึบ ช่วยเชลซีคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ วินเนอร์ส คัพ ในปี 1971 ด้วยการเอาชนะ รีล มาดริด 2-1 ในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศนัดรีเพลย์เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม หลังจากนัดแรกเมื่อ 2 วันก่อนหน้านั้นเสมอกันมา 1-1

ซึ่งแชมป์คัพ วินเนอร์ส คัพ 1971 ถือเป็นแชมป์รายการสุดท้ายของโบเน็ตติกับเชลซี เพราะแม้หลังจากนั้นเชลซีที่เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศลีกคัพในปี 1972 แต่ก็แพ้สโต๊ค ซิตี้ 1-2

แต่โบเน็ตติไม่ได้ค้าแข้งกับเชลซีต่อเนื่องตลอดช่วงปี 1960-1979 เพราะเดือนมกราคม 1975 เขาย้ายไปค้าแข้งสโมสร เซ็นต์ หลุยส์ สตาร์ส ในอเมริกาแบบไร้ค่าตัว ก่อนวกกลับมาเฝ้าเสาให้เชลซีในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน และมีส่วนช่วยให้เชลซีเลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดอีกครั้งในปี 1977

จากนั้นเขาลงเล่นให้เชลซีอีกกว่า 100 เกม กระทั่งลงเล่นเกมสุดท้ายกับเชลซีในวัย 38 ปี ในนัดเสมอ อาร์เซน่อล 1-1 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 1979

หลังโบกมือลาเชลซีไปในเดือนกรกฎาคม 1979 โบเน็ตติย้ายไปทำงานเป็นบุรุษไปรษณีย์ที่เกาะมัลล์ของสกอตแลนด์ พร้อมกับลงเล่นให้ ดันดี ยูไนเต็ด แบบสั้นๆ ในสัญญา 1 ปี ก่อนแขวนสตั๊ดในเวลาต่อมา

จากนั้นโบเน็ตติ ทำงานในฐานะโค้ชผู้รักษาประตูให้กับเชลซี และทีมชาติอังกฤษ นอกจากนี้ยังเคยถูกเรียกไปทำงานร่วมกับ เอฟเวอร์ตัน, นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด, ฟูแล่ม และแมนเชสเตอร์ ซิตี้

ต่อมา โบเน็ตติ ที่วัย 45 ปีในขณะนั้น แวะไปเฝ้าเสาให้กับ เวิร์คกิ้ง เอฟซี ทีมในอิสซ์เมียนลีก (ลีกภูมิภาคของอังกฤษซึ่งส่วนใหญ่เป็นทีมกึ่งอาชีพ) เป็นจำนวน 2 เกม ระหว่างปี 1986-87

ในระยะหลัง โบเน็ตติ  ทำหน้าที่คอยพูดคุยและให้การต้อนรับแฟนบอลที่ถือตั๋ว Hospitality ซึ่งเดินทางมาชมเกมการแข่งขันของเชลซีในถิ่นสแตมฟอร์ดบริดจ์แห่งนี้

สรุปผลงานของโบเน็ตติกับเชลซี
ประเดิมสนาม : แมนฯ ซิตี้ (เหย้า) ศึกดิวิชั่น 1 วันที่ 2 เมษายน 1960
เกมสุดท้าย: อาร์เซนอล (เหย้า) ศึกดิวิชั่น 1 วันที่ 14 พฤษภาคม 1979
จำนวนนัดที่ลงสนาม: 729 (สูงสุดอันดับ 2 ของสโมสร)
คลีนชีท: 208 (สูงสุดอันดับ 2 ของสโมสร)
แชมป์ที่ได้กับเชลซี: ลีก คัพ 1965, เอฟเอ คัพ 1970 และ คัพ วินเนอร์ส คัพ 1971
รางวัลส่วนบุคคล: นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของเชลซี 1967
ผลงานกับทีมชาติอังกฤษ : แชมป์ฟุตบอลโลก 1966

โดยเชลซีออกแถลงการณ์ต่อการจากไปของโบเน็ตติว่า “สโมสรฟุตบอลเชลซีขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อการจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ของปีเตอร์ โบเน็ตติ หนึ่งในสุดยอดผู้เล่นระดับตำนานของเรา ทุกคนที่เชลซีขอส่งแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง และขอส่งกำลังใจไปยังครอบครับของปีเตอร์ โบเน็ตติและเพื่อนๆ ของเขาต่อการจากไปครั้งนี้”

ด้าน จอห์น เทอร์รี่ อดีตกองหลังกัปตันทีมเชลซี โพสต์ข้อความอาลัยในอินสตาแกรมส่วนตัวว่า “หัวใจของผมแหลกสลายอย่างแท้จริง ขอให้คุณไปสู่สุคติ ปีเตอร์ โบเน็ตติ ตำนานและฮีโร่ของเชลซี ผมขอแสดงความเสียใจและขอส่งความห่วงใยให้กับครอบครัวของเขาที่ต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่โศกเศร้าเช่นนี้ โบเน็ตติ คือสุภาพบุรษตัวจริง เป็นหนึ่งในคนที่นิสัยดีที่สุดที่คุณจะอยากจะเจอสักครั้งในชีวิต

พอล คาโนวิลล์ อดีตกองกลางเชลซี ระบุว่า ภูมิใจมากที่ได้เรียกคุณว่าเป็นเพื่อนร่วมทีม และภูมิใจยิ่งกว่าที่ได้มีนายเป็นเพื่อนในชีวิตจริง ลาก่อนนะ สุดยอดผู้รักษาประตูตลอดกาลของเชลซี นายนี่แหละตำนานตัวจริง”

ด้าน ปีเตอร์ ชิลตัน อดีตผู้รักษาประตูของทีมชาติอังกฤษ โพสต์ข้อความอาลัยในทวิตเตอร์ว่า “ผมเป็นหนึ่งในนักเตะที่ลุยศึกฟุตบอลโลก 1970 ร่วมกับโบเน็ตติ เขาเป็นฮีโร่ในใจของผม เป็นนักเตะที่น่าเกรงขามและเป็นสุภาพบุรษตัวจริง”

โบเน็ตติ ถือเป็นสุภาพบุรษคนหนึ่งในวงการลูกหนัง ได้รับการเคารพและยกย่องจากเพื่อนร่วมงานและแฟนบอล มักมีเสียงโห่ร้องต้อนรับจากแฟนๆ เป็นอย่างดีทุกครั้งที่เขาแวะเวียนมายังสแตมฟอร์ด บริดจ์ ซึ่งการเสียชีวิตของโบเน็ตติ นับเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของเชลซีจริงๆฟ

แม้ตัวจะจากไป แต่เชื่อว่าโบเน็ตติจะยังมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของทุกคนไปอีกนานแสนนานอย่างแน่นอน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image