ลอนเทนนิสแถลงโต้กกท.รับรองเลือกตั้ง-ยันผิดกฎ รอศาลตัดสิน

ตามที่การเลือกตั้งนายกสมาคมกีฬา ลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยฯ เมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา หลังนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายกสมาคม 7 สมัย พ่ายแพ้การเลือกตั้งให้กับนายสมบัติ เอื้อมมงคล อดีตนักเทนนิสทีมชาติ ด้วยคะแนนเสียง 19 เสียง ต่อ 35 เสียง ต่อมา “บิ๊กเยิ้ม” พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร อุปนายกสมาคม และประธานจัดการเลือกตั้ง ออกมาประกาศให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะโดยอ้างการประชุมยังไม่สมบูรณ์ เพราะได้สั่งยุติการเลือกตั้งก่อนการประชุมจะจบครบทุกวาระ รวมถึงยังมีข้อสงสัยในความผิดปกติของคะแนนการเลือกตั้ง และผู้รับมอบอำนาจจากสโมสรสมาชิกที่อาจจะไม่ใช่ตัวจริงเข้ามาประชุมเลือกตั้ง จนต้องไปยื่นเรื่องร้องเรียนกับผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ไปแล้ว รวมถึง ร.ต.ท.ดนัย อุดมโชค ไปยื่นฟ้องร้องต่อศาลจังหวัดนนทบุรี ขอให้การเลือกตั้งดังกล่าวเป็นโมฆะ ซึ่งศาลจังหวัดนนทบุรี รับคำฟ้องเข้าสู่กระบวนการไต่สวนไปแล้วนั้น

กระทั่งเมื่อวันที่ 12 เมษายน นายสกล วรรณพงษ์ ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ในฐานะนายทะเบียนตามพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ.2558 ได้รับรองผลการประชุมที่ผ่านมา ทำให้นายสมบัติ ได้เป็นนายกสมาคมกีฬาเทนนิสฯ อย่างเป็นทางการ คนที่ 17 ของประเทศไทย

ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 เมษายน พล.อ.ธวัชชัย, นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา คณะกรรมการอำนวยการสมาคมฯ และทนายความ ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวที่สมาคมกีฬา ลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยฯ ในเรื่องของกระบวนการแต่งตั้งกรรมการสมาคมกีฬาที่ขัดต่อกฎหมายและข้อบังคับของสมาคมกีฬา เนื่องจากว่าการประชุมในวันดังกล่าวมีการกระทำผิด

โดยประเด็นที่ทำให้การประชุมและการเลือกตั้งไม่สมบูรณ์ เพราะขัดต่อข้อบังคับของสมาคม มีดังนี้

Advertisement

1.ประธานในที่ประชุมใหญ่ไม่เป็นไปตามข้อบังคับสมาคม ข้อ 50 คือ พล.อ.ธวัชชัย ไม่ได้เป็นประธานสโมสรหรือผู้ได้รับมอบอำนาจจากสโมสรมาร่วมประชุม ซึ่งได้มีการแจ้งก่อนหน้าประชุมแล้ว แต่ก็ยังดำเนินการต่อ

2.มีการกระทำเข้าข่ายผิดกฎหมายอาญา เนื่องจากทะเบียนสมาชิก พร้อมหลักฐานที่ประกอบการลงทะเบียน อาจถูกทำให้เสียหาย ทำลาย หรือนำไปซ่อนไว้ ซึ่งได้มีการแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินการสอบสวนแล้ว

3.รายชื่อสมาชิกเครือสโมสรตามหนังสือฉบับลงวันที่ 20 มกราคม ไม่ถูกต้อง เป็นการจัดทำขึ้นโดยพลการไม่ผ่านความเห็นชอบจากนายทะเบียนสมาคมฯ นายกสมาคมฯ หรือคณะกรรมการอำนวยการของสมาคมฯ

Advertisement

4.สโมสรและชมรมที่เข้ารวมประชุมไม่ใช้สมาชิกเครือสโมสร เพราะว่าคณะกรรมการอำนวยการยังไม่ได้มีมติรับสโมสรที่เข้าร่วมประชุมบางส่วนเป็นสมาชิกตามข้อบังคับ และได้มีการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง

5.การเสนอชื่อกรรมการขัดต่อกฎหมายและข้อบังคับของสมาคมฯ ทางสมาคมได้ตรวจสอบสมาชิกภาพของ สโมสรเทนนิสหลวงชนบท ไม่ปรากฎในทะเบียนสมาชิกพร้อมทั้งหลักฐานในการประกอบการลงทะเบียนตามข้อบังคับของสมาคม นอกจากนี้ประธานสโมสรได้มอบอำนาจให้เพียงเข้าร่วมประชุม ไม่ได้เสนอชื่อผู้ที่จะเป็นนายกสมาคมหรือคณะกรรมการ

6.การแจ้งกำหนดนัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี พ.ศ.2559 ไม่เป็นไปตามข้อบังคับ มีการส่งหนังสือให้เพียง 18 สโมสรเครือสมาชิกเท่านั้น

7.สมาชิกภาพของสโมสรเครือสมาชิกสิ้นสุดลงก่อนการประชุม 34 แห่ง ซึ่งไม่ได้ชำระค่าบำรุงสมาชิกประจำปี พ.ศ.2558 ทำให้สมาชิกภาพสิ้นสุดลงตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2558

8.การมอบอำนาจไม่ถูกต้องตามกฎหมายและข้อบังคับข้อ 53 ซึ่งต้องมีการระบุผู้ได้รับมอบอำนาจเพียง 1 คน แต่ว่าที่ประชุมได้มีการเสนอชื่อผู้อื่นแทน และไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่ปรากฎในหนังสือมอบอำนาจ

9.มีการใช้เอกสารปลอมเข้าร่วมการประชุม และหนังสือมอบอำนาจที่ใช้เข้าร่วมประชุมมีพิรุธ

10.ขัดขวางการใช้สิทธิ์ลงคะแนนของสโมสรเครือสมาชิก ซึ่งมีการขัดขวางผู้แทนชมรมเทนนิสชัยนาท ไม่ให้ใช้สิทธิ์ในการลงคะแนน

11.องค์ประกอบของคณะกรรมการอำนวยการไม่สมบูรณ์ตามข้อบังคับ เนื่องจาก พล.อ.ธวัชชัย, นายชลิตรัตน์, นายพิชัย ปั้นตระกูล, นายเดชา เดชะตุงคะ และ พล.ท.ญ.อัญชลี เกิดผลงาม แสดงเจตนาไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง จึงไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งคณะอำนวยการ

12.พฤติกรรมการจัดตั้งคะแนนเสียง พบว่าหนังสือมอบอำนาจของสโมสรและชมรมมีความเกี่ยวพันใกล้ชิด เป็นเครือญาติกับบุคคลในสมาคม ดังนั้นจึงเข้าข่ายพฤติกรรมการ “ฮั้ว” ที่ขัดต่อกฎหมาย

ซึ่งการใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนในการประชุมไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลให้เป็นโมฆะ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐาน กรณีที่สมาชิกรัฐสภาได้เสียบบัตรลงคะแนนเสียงแทนกันในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เมื่อการลงคะแนนเสียงบางส่วนไม่ชอบด้วยกฎหมาย มติของที่ประชุมย่อมเสียไปทั้งหมด

พล.อ.ธวัชชัย กล่าวว่า ต้องการชี้แจงข้อเท็จจริงให้ได้เห็น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ได้ส่งให้กับทางผู้ว่าการกกท. ไปหมดแล้ว แต่เหมือนมิได้นำมาวิเคราะห์ร่วมกันแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามเมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้คงต้องพึ่งบารมีของศาลในการตัดสินเท่านั้น ซึ่งเดิมทีได้มีเรื่องที่ฟ้องร้องอยู่ในชั้นศาล และเตรียมที่จะมีการไต่สวนในวันที่ 16 พฤษภาคม ต่อไป

“ผมตั้งข้อสังเกตอย่างหนึ่งว่า ทำไมต้องมีการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งในช่วง 15.30 น. ของเมื่อวันที่ 12 เมษายน ซึ่งเป็นวันสุดท้ายก่อนจะหยุดยาวในช่วงสงกรานต์ ทำให้ทางสมาคมฯ ไม่สามารถดำเนินการอย่างอื่นได้ทัน” บิ๊กเยิ้มกล่าวปิดท้าย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image