เมื่อเวลา 07.09 น.วันที่ 25 เมษายน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมคณะสภากรรมการสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย บวงสรวงครบรอบ 100 ปีสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ และถวายสักการะพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 “พระบิดาแห่งฟุตบอลสยาม” ที่พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ในพระราชวังสนามจันทร์ เนื่องในวันคล้ายวันครบรอบก่อตั้งสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย100ปี และทำบุญเลี้ยงพระถวายสังฆทานเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่่ 6 ที่พระตำหนักทับแก้ว (พิพิธภัณฑ์คณะฟุตบอลแห่งสยาม)
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ กล่าวว่า วันนี้(25 เมษายน) สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ดำเนินกิจการเกี่ยวกับฟุตบอลของประเทศไทย ครบรอบ 100 ปี ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ในฐานะทรงเป็น พระบิดาแห่งฟุตบอลสยาม โปรดเกล้าฯจัดตั้งคณะฟุตบอลแห่งสยาม หรือสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯขึ้น เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2459 และมีพระบรมราชานุญาตให้สมาคมฯสมัครเป็นสมาชิกฟีฟ่า เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2468 ถือเป็นชาติแรกของทวีปเอเชีย และเป็นอันดับที่ 37 ของโลก จวบจนปัจจุบันกีฬาฟุตบอลของประเทศไทยเจริญก้าวหน้า และได้รับความนิยมและยืนหยัดอยู่สืบทอดมาตลอด 100 ปี ด้วยพระบารมีแห่งพระองค์ท่าน และในโอกาสอันเป็นมหามงคลนี้ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยพร้อมคณะสภากรรมการ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของล้นเกล้าที่มีต่อวงการฟุตบอลไทย จึงจัดพิธีบวงสรวงขึ้น ณ พระบรมราชานุสาวรีย์
อนึ่ง เนื่องจากสนามหญ้าหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ ในพระราชวังสนามจันทร์แห่งนี้นั้น เดิมเป็นสนามแข่งขันฟุตบอลถ้วยทองของหลวง (2458-2468) และพระตำหนักทับแก้ว นอกจากใช้เป็นพระตำหนักในฤดูหนาวแล้ว ยังใช้เป็นที่ทำการของ คณะฟุตบอลถ้วยทองของหลวง ที่พระองค์ทรงเป็นสภานายกฯตลอดรัชสมัย และต่อมาได้โปรดเกล้าฯให้คณะกรรมการฯดังกล่าวขึ้นเป็นสภากรรมการคณะฟุตบอลแห่งสยาม ชุดแรก
นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ กล่าวถึงตราพระมหามงกุฎฯ ว่าตนนั้นมารับตำแหน่งนายกสมาคมฯ ที่หลังทราบจากเจ้าหน้าที่ และเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังถึงตราพระมหามงกุฎฯ ว่าถูกต้องไหมเพราะมีหลายฝ่ายหลายความคิดที่มีความคิดที่ต่างกัน บางคนบอกว่าควรเปลี่ยน บางคนบอกว่าไม่ควรเปลี่ยน เปลี่ยนได้ เปลี่ยนไม่ได้ อันนี้ต้องให้ฝ่ายกฎหมายเป็นคนศึกษา และขอยืนยันว่าถูกใจมากหลังถูกต้อง จะถูกใจใครหรือไม่อย่างไร ไม่ได้ให้ความสำคัญ ผมให้ความถูกต้องเป็นอันดับแรก เพราะฉะนั้น เปลี่ยนไม่เปลี่ยนอยู่ที่ความถูกต้อง ถ้าการเปลี่ยน เปลี่ยนมาด้วยความถูกต้อง ดำเนินการตามขั้นตอนถูกต้องก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้าการดำเนินการในการเปลี่ยนเมื่อครั้งนั้นไม่ถูกต้อง เราก็น่าจะทำให้มันถูกต้อง ไม่ใช่ปล่อยไปเรื่อยๆ โดยไม่คิดที่จะแก้ไข ถ้าผิดก็ต้องแก้ไข แก้ไขอย่างไรให้ถูกต้อง และทิ้งท้ายว่า “ถูกต้อง ต้องมาก่อนถูกใจ”
“เร็วๆ นี้จะมีการต้อนรับคณะกรรมการฟีฟ่า ที่จะมาเยือนประเทศไทย ได้เตรียมข้อหารือถึงการใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางกีฬาในภูมิภาคนี้ โดยจะเสนอให้ฟีฟ่ามาตั้งที่ทำการ หรือสำนักงานในประเทศไทย เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคและขอให้ฟีฟ่าสนับสนุนงบประมาณในการจัดสร้างสนามกีฬา ศูนย์ฝึกกีฬา และที่ทำการสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ และสนับสนุนเรื่องการอบรมพัฒนากีฬา หากเป็นไปได้จะขอที่ดินของทางราชการที่ไม่ได้ใช้อะไร จากนายกรัฐมนตรี เพื่อรองรับโครงการที่เสนอขอฟีฟ่าไป” พล.ต.อ.สมยศกล่าว
