ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เปิดเผยว่า ในกรณีนี้เรารับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย ทั้งคนในวงการมวย และคนที่ไม่ได้อยู่ในวงการมวย แต่ห่วงใยสุขภาพเด็ก ซึ่งถือว่ามีความเห็นที่หลากหลาย ในแง่ของวงการมวยก็เข้าใจประเด็นต่างๆ ที่เป็นวัฒนธรรมเกิดขึ้นมาตั้งแต่โบราณ แต่เรื่องที่เราจะต้องมาพิจารณาก็คือจะต้องทำอย่างไรให้เด็กเกิดความปลอดภัยสูงที่สุด ซึ่งตอนนี้ สนช.ก็ได้ยกร่างขึ้นมา จำกัดอายุต่างๆ
“ผมอยากจะชี้แจงในส่วนของร่าง สนช.ในเรื่องจำกัดอายุต่างๆ เด็กต่ำกว่า 15 ปี ชกมวยไทย แต่ก็ต้องมีมาตรการต่างๆ และยังไม่อยากให้ชกเวทีมวยมาตรฐานต่างๆ โดยจริงแล้ว กกท.เอง ก็มี พ.ร.บ.มวย เดิมที่มีข้อระเบียบคุ้มครองนักมวยเยาวชนอยู่แล้ว ซึ่งก็อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมในเรื่องของการใส่เฮดการ์ด การบังคับใช้กฎหมายด้วยการแก้ไขกฎหมายให้มีกลไกในการใช้กฎหมายในชัดเจน” ดร.ก้องศักด กล่าว
ผู้ว่าการ กกท. กล่าวอีกว่า เป็นหน้าที่ของ กกท.อยู่แล้ว เพราะเป็นนายทะเบียนมวยมีกฎหมายในการดำเนินงาน คือ พ.ร.บ.มวย พ.ศ.2542 อยู่แล้ว กกท.มีหน้าที่ออกใบอนุญาต ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้น ทางผู้เกี่ยวข้องได้ขออนุญาตตามระเบียบมาอย่างถูกต้อง กระบวนการขั้นต้นถูกต้องแล้ว วันที่ 16 พฤศจิกายน จะเรียกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ผู้ตัดสิน โปรโมเตอร์ แพทย์ มาพูดคุยกันว่าเกิดอะไรขึ้น มาตรฐานของการจัดแข่งขันถูกต้องหรือไม่ โดยจะมีการสอบสวนทุกอย่างในที่เกิดเหตุ
ดร.ก้องศักด กล่าวว่า ที่ผ่านมาเห็นว่ามีข้อบกพร่องเรื่องการใช้กฎหมาย ดูแลได้ไม่ทั่วถึง ถึงแม้จะมีหน้าเจ้าที่ในคณะกรรมการมวยทุกจังหวัด แต่เจ้าหน้าที่มีน้อย จึงต้องพิจารณาว่าทำอย่างไรถึงจะใช้กฎหมายได้อย่างจริงจัง ทำอย่างไรให้หน่วยงานอื่นเข้ามาช่วย กกท. มองว่าต้องมีผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย ให้ช่วยกันสอดส่อง เพราะเจ้าหน้าที่ กกท. อย่างเดียวไม่พอ และการบังคับใช้ไม่เข้มข้นเท่าที่ควร ตำรวจเป็นเจ้าพนักงานตราม พ.ร.บ.มวย เรื่องเหล่านี้เตรียมกันมาก่อนเกิดเหตุแล้ว
“ต้องมาคุยกันว่าจะทำอย่างไรกับมวยเด็ก เพราะมีความเห็นหลากหลายมาก เด็ก 7-8 ขวบก็เริ่มต่อยจริงจังแล้ว รวบรวมความคิดเห็นของทุกฝ่ายมาแล้ว ทั้งการแพทย์ สิทธิมนุษยชน ทางค่ายมวย ต้องมาคุยกันหาทางร่วมกันว่าจะป้องกันสุขภาพเด็กอย่างไรได้บ้าง” ดร.ก้องศักดกล่าวปิดท้าย
