ฟ้าหลังฝน “โปรเม” สุดทึ่งซิว 3 แชมป์ติด

กลายเป็นปรากฏการณ์ที่สื่อกอล์ฟทั่วโลกพากันติดตามด้วยความตื่นตาตื่นใจ ด้วยเหตุผลหลายๆ ประการ

ประการแรกนั้น “โปรเม” เป็นนักกอล์ฟคนแรกในประวัติศาสตร์ของแอลพีจีเอทัวร์ หรือทัวร์กอล์ฟสูงสุดของฝ่ายหญิง นับตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี 1950 ซึ่งเมื่อคว้าแชมป์รายการแรกในชีวิตของตัวเองได้แล้ว ก็สามารถคว้าแชมป์รายการที่ 2 และ 3 ต่อเนื่องในทัวร์นาเมนต์ถัดมาที่ตัวเองลงแข่งขันทันที

ที่ผ่านมาถึงจะมีคนที่เคยคว้าแชมป์ 3 หรือ 4 รายการติดต่อกันมาแล้ว แต่ทั้งหมดล้วนเกิดหลังจากการคว้าแชมป์แรกไปนานแล้ว และไม่เคยมี “แชมป์หน้าใหม่” คนไหนที่ร้อนแรงเท่า “โปรเม” เลยสักคน

ยิ่งไปกว่านั้น ฟอร์มอันร้อนแรงของ “เอรียา” ยังได้รับเสียงชื่นชมจากบรรดาสื่อกอล์ฟระดับโลกมากมาย อาทิ “กอล์ฟ ไดเจสต์”, “กอล์ฟ แชนเนล” และผู้คร่ำหวอดหลายรายในวงการกล่าวถึงสาวไทยว่า มีพรสวรรค์แบบหาตัวจับยาก ไม่ใช่แค่ทักษะฝีมือ แต่ยังเสริมด้วยความแข็งแกร่งของร่างกายที่ทำให้เธอโดดเด่นเหนือเพื่อนร่วมอาชีพจำนวนมาก

Advertisement

คนที่ติดตาม “เอรียา” มาตั้งแต่สมัยยังเป็นนักกอล์ฟสมัครเล่นย่อมคุ้นเคยสไตล์การเล่นดุดัน ลูกไดรฟ์ไกลไม่แพ้ผู้ชาย การหวดแอพโพรชช็อตอันแม่นยำ รวมถึงความมุ่งมั่นและมั่นใจจนกลายเป็น “ออร่า” ที่น่าเกรงขามของเธอเป็นอย่างดี

ทั้งหลายทั้งปวงนี้ติดตัว “เอรียา” มาจนถึงช่วงเทิร์นโปรใหม่ๆ เมื่อปี 2013 ขณะอายุได้ 17 ปี จนสื่อยกให้เธอเป็นนักกอล์ฟหน้าใหม่ที่ร้อนแรงที่สุดคนหนึ่งในวงการ

p0123310559p1

Advertisement

“เอรียา” เริ่มต้นด้วยการหวิดคว้าแชมป์ “ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์” ที่บ้านเราเมื่อต้นปี 2013 หลังจากนำเดี่ยว โดยทิ้งอันดับสอง 2 สโตรก ก่อนจะพลาดทำทริปเปิ้ลโบกี้ที่หลุมสุดท้าย จนตำแหน่งแชมป์หลุดมือให้ “ปาร์ก อินบี” มือ 1 ของโลกในตอนนั้นอย่างน่าผิดหวัง

“โปรเม” มาแก้ตัวด้วยการคว้าแชมป์เลดี้ส์ ยูโรเปี้ยนทัวร์ “ลัลลา มัรยัม คัพ” ที่ประเทศโมร็อกโก เป็นการประเดิมแชมป์อาชีพรายการแรกในชีวิตหลังจากนั้นไม่กี่เดือน และทำผลงานโดยรวมในแอลพีจีเอทัวร์ (ผ่านโควต้าสปอนเซอร์) ได้อย่างน่าชื่นชมจนอันดับโลกพุ่งขึ้นไปถึงที่ 15

แต่แล้วทุกอย่างที่ดูจะไปได้สวยกลับมาสะดุดเอาดื้อๆ เมื่อ “โปรเม” ประสบอุบัติเหตุหกล้มขณะหยอกกับพี่สาว “โปรโม-โมรียา จุฑานุกาล” จนได้รับบาดเจ็บที่หัวไหล่ ต้องเข้ารับการผ่าตัดและห่างสนามไปนานถึง 8 เดือนเต็ม เมื่อกลับมาแข่งขันอีกครั้งทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

“เอรียา” ยอมรับว่า แม้จะกลับมาแข่งขันได้แล้ว แต่อาการเจ็บก็ยังไม่หาย บางครั้งจะรู้สึกเจ็บแปลบเวลาสะวิงไม้ จึงต้องปรับเปลี่ยนวงสะวิงให้เหมาะกับสภาพร่างกายมากที่สุด

ปีที่แล้ว “เอรียา” ต้องเผชิญกับจุดตกต่ำที่สุดในชีวิตการเป็นนักกอล์ฟอาชีพ (ช่วงสั้นๆ) ของตัวเอง หลังจากพ่ายดวลเพลย์ออฟจนจบอันดับ 2 ร่วม ในศึก “บาฮามาส แอลพีจีเอ คลาสสิก” ในเดือนกุมภาพันธ์

จากนั้นฟอร์มเริ่มกะท่อนกะแท่น และไม่ผ่านตัดตัวถึง 10 รายการติดต่อกันระหว่างเดือนเมษายนถึงสิงหาคม จนความมั่นใจหดหายไปเกือบหมด

“เม” บอกว่า ช่วงที่ทำผลงานล้มเหลวจนน่าใจหาย เธอโชคดีที่มีพี่สาวกับคุณแม่คอยเป็นกำลังใจอยู่ข้างๆ รวมถึงเพื่อนรุ่นพี่ในวงการอย่าง “คริสติน่า คิม” โปรสาวอารมณ์ดีชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลี ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่คอยปลุกใจและย้ำกับเธอเสมอว่า เธอเป็นคนเก่ง ฝีมือดี อย่าเพิ่งถอดใจไปง่ายๆ

กระทั่งเริ่มต้นปี 2016 ก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงกับ “โปรเม” เมื่อได้ร่วมงานกับ “แกรี่ กิลคริสต์” โค้ชสะวิงคนใหม่ที่เข้ามาให้คำแนะนำปรับเปลี่ยนหลายๆ ประการ ในจำนวนนี้คือการแนะให้เธอหยุดใช้ไดรฟ์เวอร์ในบางรายการ เพราะด้วยความแข็งแกร่งของร่างกาย แค่หัวไม้ 3 หรือเหล็ก 2 ก็ช่วยให้ “เม” ไดรฟ์ได้ไกลกว่าคู่แข่งหลายคนแล้ว

ในศึกเมเจอร์แรกของปี รายการ “เอเอ็นเอ อินสไพเรชั่น” เมื่อเดือนมีนาคม “เม” ได้ลุ้นสร้างประวัติศาสตร์หลังขึ้นนำ 2 สโตรก ขณะเหลือ 3 หลุม แต่ฝันร้ายเดิมๆ เหมือนรายการ “ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์” เมื่อ 3 ปีก่อนก็ย้อนกลับมา เมื่อสาวไทยเสียโบกี้ 3 หลุมสุดท้าย จนเสียแชมป์ให้ “ลิเดีย โค” มือ 1 ของโลกชาวนิวซีแลนด์เชื้อสายเกาหลีอย่างน่าเสียดาย

ตอนนั้นบรรดาแฟนๆ กับสื่อส่วนใหญ่ต่างมอง “เอรียา” ว่าเป็นนักกอล์ฟมีฝีมือแต่อาจจะหยุดอยู่แค่ตำแหน่ง “เกือบแชมป์” เท่านั้น แต่เจ้าตัวกลับไม่คิดอย่างนั้นแม้แต่นิดเดียว

เพราะการหวุดหวิดจะคว้าแชมป์ “เอเอ็นเอ อินสไพเรชั่น” กลับเป็นการปลุกความมั่นใจในตัว “โปรเม” ขึ้นมาว่ามีศักยภาพเพียงพอจะคว้าชัยชนะได้ และหลังจากนั้นทุกอย่างมีแต่ดีวันดีคืน “โปรเม” ปลดล็อกตัวเองด้วยการคว้าแชมป์ “โยโกฮาม่า ไทร์ แอลพีจีเอ คลาสสิก” ต้นเดือนพฤษภาคม ต่อด้วยแชมป์ “คิงส์มิลล์ แชมเปี้ยนชิพ” ในอีก 2 สัปดาห์ถัดมา และล่าสุดกับรายการ “แอลพีจีเอ วอลวิก แชมเปี้ยนชิพ” เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

“เม” ได้เงินรางวัลจาก 3 รายการนี้ รายการละ 195,000 ดอลลาร์สหรัฐ (6.8 ล้านบาท) เมื่อรวมเงินรางวัลที่ทำได้ในปีนี้ คิดเป็น 882,820 ดอลลาร์สหรัฐ (เกือบ 31 ล้านบาท) และรั้งอันดับ 10 ของโลก ซึ่งเป็นอันดับโลกสูงสุดในประวัติศาสตร์วงการกอล์ฟไทยไม่ว่าชายหรือหญิง

ความสำเร็จในปีนี้เป็นการพลิกชีวิตแบบกลับตาลปัตรกับเมื่อปีที่แล้ว คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ความสำเร็จของ “โปรเม” น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งขึ้น และยิ่งเวลาผ่านไป ออร่าความน่าเกรงขามของ “เอรียา จุฑานุกาล” เหมือนสมัยเป็นนักกอล์ฟสมัครเล่นก็เริ่มกลับคืนมา เพราะเจ้าตัวเผยว่า เธอรู้วิธีรับมือกับแรงกดดันได้แล้ว

เจสสิก้า คอร์ด้า เพื่อนร่วมก๊วนในรอบสุดท้ายของศึก “วอลวิก แชมเปี้ยนชิพ” ออกปากว่า ฟอร์มของ “เอรียา” ในรอบสุดท้าย (ซึ่งทำไป 5 อันเดอร์พาร์) เป็นอะไรที่ทำให้เธอพูดไม่ออก เพราะเมื่อไรก็ตามที่ “เม” หวดลูกจากแท่นทีออฟออกไป ทุกคนจะต้องจับตาดูให้ดี

ส่วน “คริสติน่า คิม” เพื่อนรุ่นพี่ที่ “เม” เคารพรักบอกว่า ไม่รู้จะบรรยายสไตล์ของ “เอรียา” อย่างไรดีเพราะไม่คิดว่าจะมีนักกอล์ฟคนไหนในยุคของเธอที่เป็นแบบสาวน้อยคนนี้ โดยเฉพาะการหวดลูกที่ทรงพลัง ความคิดสร้างสรรค์ในการเล่นแต่ละช็อตจากแต่ละตำแหน่งของสนาม เมื่อเริ่มออกสตาร์ตแล้วก็เหมือนว่าใครๆ ก็หยุดเธอไม่อยู่อีกต่อไป และนับเป็นเรื่องน่ายินดีที่จะได้เฝ้าดูก้าวต่อๆ ไปของสาวไทยคนนี้อย่างใกล้ชิด ขอเพียงให้เธอเชื่อมั่นในตัวเองเข้าไว้เท่านั้น

ก่อนหน้านี้ “โปรเม” บอกว่า เป้าหมายของเธอในปีนี้คือการคว้าแชมป์ในแอลพีจีเอทัวร์ให้ได้ เมื่อทำได้แล้วก็ตั้งเป้าจะติดอันดับท็อปเท็นของโลก ซึ่งก็ทำได้อีก เป้าหมายล่าสุดของเธอในตอนนี้คือการไต่ขึ้นอันดับท็อป 5 หรือไม่ก็คว้าแชมป์เมเจอร์ให้ได้สักรายการ

ค่อยๆ ขยับไปทีละสเต็ปอย่างหนักแน่นมั่นคง แล้วทุกอย่างจะไปได้ดีเอง

p0123310559p3

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image