สกู๊ปหน้า 1 : ‘อากิระ นิชิโนะ’ อดีตกุนซือทีมชาติญี่ปุ่น ที่ ‘ช้างศึก’ หมายปอง

กลายเป็นเรื่องอลหม่านกันเข้าไปใหญ่แล้วกับการสรรหาหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีม “ช้างศึก” ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย คนใหม่ หลังจากที่ 2 วันก่อนไทยยังได้เฮกับการต้อนรับ “อากิระ นิชิโนะ” อดีตกุนซือ ทีมชาติญี่ปุ่น ชุดฟุตบอลโลก 2018 ตกปากรับคำเข้ารับตำแหน่ง

แต่ทว่าล่าสุดหลังเจ้าตัวกลับถึงญี่ปุ่น กลับให้สัมภาษณ์ว่ายังไม่ได้รับงานคุมทีมชาติไทยแต่อย่างใด
จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้มันเริ่มมาจากผลงานอันย่ำแย่ของ “ช้างศึก” ในการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน “คิงส์คัพ” ครั้งที่ 47 ที่ไปจัดกันที่จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งผลปรากฏว่าไทยจบเพียงอันดับที่ 4 ทำให้หลังจบการแข่งขันนั้น “โค้ชโต่ย” ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย กุนซือใหญ่ขอยุติบทบาทการทำหน้าที่หัวหน้าผู้ฝึกสอนทันที

หนำซ้ำในส่วนของทีมชาติไทยชุดอายุไม่เกิน 23 ปี ก็ปั่นป่วนไม่แพ้กันเพราะว่า “อเล็กซานเดร กาม่า” หัวหน้าผู้ฝึกสอนชาวบราซิเลียน ก็ขอลาออกจากตำแหน่ง เพื่อไปรับงานคุมทีม “กิเลนผยอง” เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ด้วยเหตุผลว่า ชื่นชอบการทำงานในระดับสโมสรมากกว่าทีมชาติ

Advertisement

เท่ากับว่าภายในเวลาไม่นาน ปรากฏว่า ทีมชาติไทย จะต้องรับบทหนักในการหากุนซือทีมชาติคนใหม่ ทั้งชุดใหญ่ ที่มีโปรแกรม “ฟุตบอลโลก 2022” รอบคัดเลือกโซนเอเชีย รอบสอง ที่จะเปิดฉากฟาดแข้งในเดือนกันยายนนี้ รวมถึงชุดยู-23 ที่มีทั้งโปรแกรม ซีเกมส์ เดือนพฤศจิกายน กับ ชิงแชมป์เอเชีย รอบสุดท้าย ที่เป็นการ คัดเลือกทีมไป โอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่น ด้วยเช่นกัน

ดังนั้น สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ จึงต้องเปิดรับหากุนซือคนใหม่อย่างเร่งด่วนทั้งสองชุด โดยที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ค่อนข้างเปิดกว้างกับการหากุนซือในครั้งนี้ และยังเปิดทางเลือกว่าอาจจะใช้กุนซือคนเดียวรับงานทีมชาติทั้งสองชุดพร้อมๆ กันได้ด้วย

ทันทีที่เปิดรับโปรไฟล์ของโค้ชเข้ามาพิจารณา ก็มีโค้ชหลายคนที่ให้ความสนใจและตกเป็นข่าวกับทีมชาติไทย ไม่ว่าจะเป็น ยูน จอง ฮวาน อดีตโค้ชกิเลนผยอง ซึ่งอยากจะพิสูจน์ตัวเองหลังจากผลงานอันน่าผิดหวังกับเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด หรืออีกคนที่เป็นข่าวก็คือ “โค้ชแบน” ธชตวัน ศรีปาน ที่อำลาตำแหน่งกุนซือทีม “ช้างศึกยุทธหัตถี” สุพรรณบุรี เอฟซี หลังผลงานย่ำแย่เช่นกัน

Advertisement

แต่คนที่จะดูเป็นกระแสดีมากที่สุด คือเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ซึ่งเอเยนต์ส่วนตัวของ อากิระ นิชิโนะ ได้เดินทางมายังสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ เพื่อยื่นโปรไฟล์ให้พิจารณา รับงานคุมทีมชาติไทย

จนกระทั่งช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาข่าวระหว่างทีมชาติไทย กับนิชิโนะ กระพือกลับขึ้นมาหนัก เมื่อมีรายงานข่าวว่าเจ้าตัวเตรียมเดินทางมายังประเทศไทย เพื่อรับชมเกมฟุตบอล “โตโยต้า ไทยลีก 2019” และเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ได้เข้าไปชมเกมระหว่าง “แข้งเทพ” แบงค็อก ยูไนเต็ด พบกับ “ค้างคาวไฟ” สุโขทัย เอฟซี
ก่อนที่วันที่ 30 มิถุนายน จะไปชมเกมบิ๊กแมตช์ ระหว่าง “ฉลามชล” ชลบุรี เอฟซี กับ “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด

ถัดมาวันที่ 1 กรกฎาคม นิชิโนะได้เดินทางไปเจรจากับสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ซึ่งการประชุมรอบแรกนั้นใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมง ในการประชุมครั้งแรกก่อนจะได้ข้อสรุปออกมาว่าทางกุนซือชาวญี่ปุ่นนั้น จะนำเอารายละเอียดไปพิจารณา แต่ยังไม่ได้มีการตัดสินใจใดๆ เพียงแต่จะให้คำตอบก่อนเดินทางกลับประเทศญี่ปุ่นในคืนวันนั้น

จากนั้นเย็นวันเดียวกัน มีรายงานข่าวว่าทั้ง บิ๊กอ๊อด, นายพาทิศ ศุภะพงษ์ รองเลขาธิการฝ่ายต่างประเทศ และนิชิโนะ ได้มีนัดทานอาหารพร้อมกับคุยเรื่องของสัญญาในขั้นสุดท้ายกัน ซึ่งการพูดคุย-รับประทานอาหาร ใช้เวลาราว 3 ชั่วโมง ก่อนสุดท้ายทางสมาคมฯ จะมีประกาศข่าวดีออกมาว่า อากิระ นิชิโนะ ได้ตกปากรับคำในลักษณะ “สัญญาลูกผู้ชาย” จะมาคุมทีมชาติไทยชุดใหญ่ แถมพ่วงการทำงานชุดอายุไม่เกิน 23 ปี พร้อมกันไปด้วย รวมการเจรจาทั้งวันนั้นใช้เวลาเกือบ 10 ชั่วโมงเต็มๆ

จากนั้นวันต่อมา (2 กรกฎาคม) พล.ต.อ.สมยศได้ออกมาเปิดเผยรายละเอียดในการเจรจา โดยบอกว่า

“การคุยในตอนนี้เป็นเพียงสัญญาลูกผู้ชายว่า นิชิโนะจะมาทำงานให้กับทีมชาติไทย เพียงแต่ตอนนี้เจ้าตัวยังคงมีงานกับ สมาคมฟุตบอลญี่ปุ่น (เจเอฟเอ) และต้องกลับไปเคลียร์ สะสางงานของตัวเองให้เรียบร้อยก่อน จะเดินทางกลับมาเพื่อเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการ ซึ่งทุกอย่างจะ 100 เปอร์เซ็นต์ ก็ต่อเมื่อมีการเซ็นสัญญาแล้วเท่านั้น”

ขณะเดียวกันได้มีรายงานข่าวเรื่องของสัญญาระหว่างสมาคมฯ กับนิชิโนะ รวมทีมงานทั้งหมดนั้น โดยคาดกันว่าจะได้รับค่าจ้างจากสมาคมราว 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 60 ล้านบาทต่อปี

จนล่าสุดเมื่อช่วงเช้าวันที่ 3 กรกฎาคม ได้มีรายงานจากสื่อญี่ปุ่นออกมา หลังจากที่ นิชิโนะเดินทางกลับไปถึงประเทศญี่ปุ่น และได้มีนักข่าวมาสอบถาม ซึ่งเจ้าตัวก็ตอบออกมา แบบกลางๆ ว่าในตอนนี้ยังไม่ได้มีการรับตำแหน่งกุนซือทีมชาติไทยแต่อย่างใด

การตอบคำถามของนิชิโนะครั้งนี้ สร้างความสับสนอลหม่านให้กับวงการฟุตบอลไทยอีกครั้ง เพราะจากที่หลายๆ อย่างดูลงตัว กลับกลายเป็นลอยเคว้งกลางอากาศอีกรอบหนึ่ง ที่ผ่านมา ไม่ว่าสมาคมกีฬาฟุตบอลฯจะติดต่อกับใคร มักจะมีข้อห้ามเรื่องของการออกข่าว หากยังไม่มีการเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการ แต่ครั้งนี้ฝั่งสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ กล้าออกประกาศทั้งที่ยังไม่มีการเซ็นสัญญา มันจึงมีความน่าสงสัยที่ว่าอากิระ นิชิโนะ คนนี้เป็นใคร ทำไมสมาคมถึงกล้าแหกกฎตัวเองได้

นิชิโนะ คือ กุนซือแดนปลาดิบที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ เคยพาทีมชาติญี่ปุ่น รุ่นยู-23 ไปเล่นในโอลิมปิกเกมส์ รอบสุดท้าย เมื่อปี 1996 ที่เมืองแอตแลนต้า สหรัฐอเมริกา นับเป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี ที่ญี่ปุ่นสามารถเข้ามาเล่นในโอลิมปิกเกมส์ รอบสุดท้ายได้ แถมสร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการเอาชนะทีมชาติ บราซิล 1-0 อีกด้วย

ขณะที่งานระดับสโมสรพา คาชิวะ เรย์โซล ทีมที่เขาเคยค้าแข้งด้วย คว้าแชมป์ เจลีก คัพ ได้ในปี 1998 ก่อนจะโยกไปคุมทีม กัมบะ โอซาก้า ในปี 2002 ซึ่งที่นี่เองที่นิชิโนะประสบความสำเร็จอย่างมาก พาทีมคว้าแชมป์เจลีกในปี 2005 ก่อนที่อีก 3 ปีต่อมาจะสร้างประวัติศาสตร์อีกครั้ง ด้วยการเป็นกุนซือญี่ปุ่นคนแรกที่คว้าแชมป์ เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ กับทีมกัมบะ โอซาก้า พ่วงด้วยอันดับ 3 ในศึกฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก (ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ) ในปีเดียวกัน

จากนั้นสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่น แต่งตั้งให้นิชิโนะเป็นประธานพัฒนาเทคนิคในปี 2016 แล้วตัวเขาก็ต้องมารับงานเผือกร้อนก่อนจะเริ่มการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 เพราะสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่น จัดการปลด วาฮิต อาลิฮอดซิช ก่อนจะเริ่มทัวร์นาเมนต์ไม่นาน

ทว่าเจ้าตัวทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ตั้งแต่เกมแรกคือการเอาชนะ โคลอมเบีย 2-1 กลายเป็นกุนซือเอเชียคนแรกที่สามารถเอาชนะทีมจากอเมริกาใต้ได้ ก่อนจะพาทีมญี่ปุ่นผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ
แล้วในรอบ 16 ทีมสุดท้าย พวกเขาโชว์ผลงานด้วยการออกนำทีมอันดับ 3 ของทัวร์นาเมนต์อย่าง เบลเยียม 2-0 แม้สุดท้ายจะต้านทานไม่อยู่ พ่ายไปในที่สุด แต่ก็เป็นเกมที่ได้ใจแฟนบอลอย่างมากทีเดียว

ถ้าพูดกันแล้วนี่คือโค้ชที่ตรงตามสเปกที่ “บิ๊กอ๊อด” ตามหามานาน เป็นโค้ชที่มีโปร์ไฟล์ระดับดีเยี่ยม ผ่านการคุมทีมในระดับฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายมาแล้ว (แถมยังสดๆ ร้อนๆ ไม่เหมือนคนก่อนที่ผ่านเกมฟุตบอลโลกมา 8-9 ปีแล้ว) และยังมีดีกรีแชมป์ระดับทวีปอีกหลายรายการ

อีกทั้งโค้ชญี่ปุ่นรายนี้ขึ้นชื่อเรื่องของฟุตบอลเกมบุก มีปรัชญาทำทีมว่า “ถ้าโดนต่อย ต้องต่อยคืนให้หนักกว่า” ดังนั้น มันเข้ากับแฟนบอลชาวไทยที่ชื่นชอบเกมรุกเสียนี่กระไร

แต่สุดท้ายแล้วเจ้าตัวจะเซ็นสัญญาคุมทีมชาติไทยหรือไม่นั้น แฟนบอลไทยคงต้องรอกันไปอีกระยะหนึ่ง

หวังว่าการออกตัวแรงของสมาคมลูกหนังไทยครั้งนี้ จะไม่ “แหกโค้ง” !?!

ติดตามข่าวเด็ดกีฬาดัง ทาง Line@ มติชนกีฬา (@matisport) คลิกเลย
เพิ่มเพื่อน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image