ยูโร 2016 กลุ่มซี ‘อินทรีเหล็ก’เต็งจ๋า ‘โปล-ยูเครน’ลุ้นสนุก

เดินทางกันมาถึงกลุ่มซีกันแล้วสำหรับการเคาต์ดาวน์เข้าสู่ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป “ยูโร 2016” ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีทีมแข็งๆ รวมตัวกันอยู่หลายทีมเช่นกัน

ตัวเต็งของกลุ่มนี้ คงหนีไม่พ้น “อินทรีเหล็ก” เยอรมนี เดินทางมาร่วมแข่งขันยูโร 2016 ครั้งนี้ ด้วยดีกรีเต็มบ่า หลังจากเป็นทีมยุโรปทีมแรกที่บุกไปกระชากแชมป์ฟุตบอลโลกมาจากถิ่นอเมริกาใต้ ที่เป็นเจ้าภาพได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม หลังจากฟุตบอลโลกเมื่อ 2 ปีก่อน ทีมเยอรมนีชุดนี้ก็เริ่มเข้าสู่การเปลี่ยนแปลง การบอกลาทีมชาติของ ฟิลิปป์ ลาห์ม กองหลังคนเก่งของทีมดูเหมือนจะส่งผลกระทบมากกว่าที่คิด เห็นได้จากรอบคัดเลือกที่ผ่านมาที่ทีมอินทรีเหล็กยังไม่สามารถหาแบ๊กขวามาแทนที่กัปตันคนเก่าได้เลย

อีกทั้งในรอบคัดเลือก ทีมแชมป์โลกดูจะผลงานไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แม้ว่าจะจบด้วยตำแหน่งแชมป์กลุ่ม แต่จาก 10 นัดที่ลงเล่น เก็บชัยชนะได้ 7 เกม เสมอ 1 และแพ้ไปถึง 2 เกม มีแต้มเหนืออันดับ 2 อย่างโปแลนด์เพียงแค่คะแนนเดียวเท่านั้น อีกทั้งแต่ละนัดกว่าจะชนะคู่แข่งได้ ก็ยากลำบากเหลือเกิน จนหลายคนมองว่าไม่สมกับราคาทีมแชมป์โลก

Advertisement

รวมไปถึงเกมอุ่นเครื่องที่ฟอร์มไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด ทั้งการนำ “สิงโตคำราม” อังกฤษ ก่อนถึง 2-0 แต่กลับเป็นฝ่ายพลิกกลับมาพ่าย 2-3 หรืออย่างล่าสุดกับการเปิดบ้านพ่ายให้กับสโลวาเกียถึง 1-3 ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายนำก่อนอีกครั้ง

ทีมอินทรีเหล็กของบุนเดสเทรนเนอร์อย่าง โยอาคิม เลิฟ ในตอนนี้ อยู่ในช่วงของการผลัดใบใหม่อย่างจริงจัง เพราะจากรายชื่อที่ประกาศออกมานั้น มีนักเตะที่อายุเกิน 30 เพียง 4 คนเท่านั้น คือ มานูเอล นอยเออร์ นายทวารคนสำคัญ, บาสเตียน ชไวสไตน์เกอร์ กัปตันทีม, ลูคัส โพโดลสกี้ กับ มาริโอ โกเมซ 2 แนวรุกจอมเก๋า ส่วนผู้เล่นตัวหลักจากชุดแชมป์โลก ก็ยังคงเป็นกำลังสำคัญของทีมหลายคน ไม่ว่าจะเป็น เมซุต โอซิล, โธมัส มุลเลอร์, มาริโอ เกิตเซ่ หรือ มัตส์ ฮุมเมลส์

ทว่านอกนั้นเป็นนักเตะรุ่นใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น อันโตนิโอ รูดิเกอร์, เอ็มเร่ ชาน, เลรอย ซาเน่ หรือ โจชัว คิมมิช ซึ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นการสัมผัสฟุตบอลทัวร์นาเมนต์ใหญ่เป็นครั้งแรกแทบทั้งสิ้น

Advertisement

แต่สิ่งสำคัญที่ไม่สามารถมองข้ามได้ คือทีมอินทรีเหล็กเป็นทีมที่เล็กๆ ไม่ ใหญ่ๆ ทำ ไม่ว่าผลงานในรอบคัดเลือก หรือเกมอุ่นเครื่องจะแย่ขนาดไหน เมื่อถึงทัวร์นาเมนต์สำคัญ ทีมอินทรีเหล็กมักจะระเบิดฟอร์มสุดยอดออกมาได้ทุกครั้ง อย่างที่เห็นในฟุตบอลโลกที่เข้ารอบรองชนะเลิศ 4 ครั้งติดต่อกัน หรือในยูโรเองก็เข้าถึงรอบรองชนะเลิศมา 2 ครั้งติดแล้วเช่นกัน

แน่นอนว่าเป้าหมายของทีมในครั้งนี้ คือการเป็นทีมที่ 3 ต่อจากฝรั่งเศสและสเปนในการคว้าแชมป์เมเจอร์ 2 รายการติดต่อกันให้ได้ อีกทั้งต้องการหนีสเปน ที่ตามมาครองแชมป์ยุโรปสูงสุดเท่ากัน 3 สมัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

รวมไปถึงการเรียกศรัทธาของแฟนบอลกลับคืนมา หลังจากที่ช่วงหลังมักจะฟอร์มไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

แม้จะกระท่อนกระแท่น แต่คงไม่สามารถมองข้ามได้อย่างแน่นอน

ทีมต่อมาของกลุ่มนี้คือ “โปลสก้า” โปแลนด์ ทีมที่เปรียบได้เสมือนเป็นคู่รักคู่แค้นกับเยอรมนีทีมหนึ่ง ทั้งการเป็นทีมบ้านใกล้เรือนเคียง รวมไปถึงทั้งคู่เคยเจอกันมาตั้งแต่ในรอบคัดเลือก ซึ่งต่างฝ่ายต่างผลัดกันเอาชนะไปได้ในถิ่นของตัวเอง

โปแลนด์เข้ารอบมาด้วยการเป็นอันดับ 2 ของกลุ่มดี มีผลงานชนะถึง 6 เกม เสมอ 3 และแพ้เพียงเกมเดียวเท่านั้น แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการยิงประตู โดยทีมขาว-แดง ถล่มคู่แข่งไปได้ถึง 33 ประตู เสียเพียง 10 ประตูเท่านั้น

แน่นอนว่าดาวยิงคนสำคัญของทีมคงหนีไม่พ้น โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ กองหน้าตัวเก่งจาก “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิก ที่ซัดไปคนเดียวถึง 13 ประตู ซึ่งจะต้องโคจรมาเจอกับเพื่อนร่วมทีมเสือใต้ที่อยู่กับเยอรมนีหลายคนเลยทีเดียว

นอกจากนี้ยังมีผู้เล่นหลายคนที่เล่นกระจายตัวเล่นอยู่ในลีกยุโรป อย่างเช่น วอร์เช็ก เซสนี่, ลูคัสซ์ พิซเซ็ค, จาคุบ บลาสไซคอฟสกี้ หรือ ปิโอเตอร์ เซลลินสกี้ จึงเป็นทีมที่น่ากลัวไม่เบาเช่นกัน

อีกหนึ่งทีมคือ ยูเครน ทีมที่เกิดขึ้นมาไม่นานมาก และได้ผ่านเข้ามาเล่นในฟุตบอลยูโร รอบสุดท้าย เป็นครั้งที่ 2 เท่านั้น และครั้งแรกที่ได้เข้าร่วมเป็นเพราะว่าตนเองเป็นเจ้าภาพร่วมกับโปแลนด์นั่นเอง และครั้งนี้ยูเครนผ่านเข้ามาด้วยการเพลย์ออฟเอาชนะสโลวีเนียมาได้ด้วยสกอร์รวม 3-1

กำลังหลักของยูเครนในยุคนี้ยังคงมาจาก 2 สโมสรหลักในประเทศอย่างดินาโม เคียฟ และชักตาร์ โดเนตส์ โดยมี อนาโตลี่ ติโมสชุค กองกลางจอมเก๋าวัย 37 ปี ผู้ครองสถิติลงเล่นให้ทีมชาติมากที่สุด 142 นัด เป็นกัปตันทีม

ทีเด็ดของทีมชุดนี้คงต้องยกให้ อันเดร ยาโมเลนโก้ เพลย์เมกเกอร์จากดินาโม เคียฟ ที่หลายทีมในยุโรปให้ความสนใจ และทางด้าน เยฟเฮน โคโนปลียานก้า กองกลางจากเซบีญ่า เจ้าของแชมป์ยูโรป้าลีก ทีมล่าสุด

เชื่อว่าเป้าหมายสำคัญของยูเครน คือการสร้างประวัติศาสตร์ผ่านเข้ารอบสองให้ได้เป็นครั้งแรกอย่างแน่นอน

ทีมสุดท้ายของกลุ่มนี้คือทีมที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายมาแบบหักปากกาเซียนอย่าง ไอร์แลนด์เหนือ ที่สร้างประวัติศาสตร์เข้ามาเล่นในรอบสุดท้ายได้เป็นครั้งแรก โดยคว้าแชมป์ของกลุ่มเอฟ มีแต้มเหนือกว่าทั้งโรมาเนีย, ฮังการี หรือแม้กระทั่งกรีซ อดีตแชมป์เก่าเมื่อปี 2004

ไอร์แลนด์เหนือเป็นแชมป์กลุ่มที่ยิงประตูได้น้อยมาก เพียง 16 ประตูเท่านั้น โดยดาวซัลโวของทีมคือ ไคล์ ราฟเฟอร์ตี้ กองหน้าวัย 28 ปี ที่ยิงไปถึง 7 ประตูในรอบคัดเลือก

อย่างไรก็ตาม ไอร์แลนด์เหนือมาอยู่ในกลุ่มที่หนักพอสมควร และแต่ละทีมร่วมกลุ่มล้วนมีประสบการณ์ อีกทั้งแข็งแกร่งกว่าทั้งสิ้น ดูแล้วไม่น่าจะต้านทานได้ไหว

กลุ่มนี้ทีมที่มีโอกาสเข้ารอบมากที่สุดคงหนีไม่พ้นอินทรีเหล็ก เพียงแต่คู่แข่งร่วมกลุ่มก็ไม่ง่าย จึงไม่สามารถการันตีว่าจะเป็นอันดับ 1 หรือ 2 ส่วนอีกทีมหนึ่งที่มองว่ามีโอกาส คงจะเป็นโปแลนด์กับยูเครนที่ต้องแย่งชิงอีก 1 โควต้าให้ได้ ส่วนไอร์แลนด์เหนือน่าจะทำได้เพียงเป็นทีมไม้ประดับของกลุ่มเท่านั้น

โปรแกรมการแข่งขันกลุ่มซี

12 มิถุนายน
23.00 น. โปแลนด์ พบ ไอร์แลนด์เหนือ
02.00 น. เยอรมนี พบ ยูเครน

16 มิถุนายน
23.00 น. ยูเครน พบ ไอร์แลนด์เหนือ
02.00 น. เยอรมนี พบ โปแลนด์

21 มิถุนายน
23.00 น. ยูเครน พบ โปแลนด์
23.00 น. ไอร์แลนด์เหนือ พบ เยอรมนี

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image